การเลือกมีดดำน้ำที่ดี

1. ก่อนการเลือกซื้อมีดก็ต้องถามตัวเองก่อนว่า ความต้องการในการใช้มีดของเราคืออะไรอย่างไร นักดำน้ำที่ชอบยิงปลาอาจจะต้องการมีดแบบที่ทำความสะอาดปลาโดยการ ขอด ขูด แล่ ชำแหละปลาได้ ในขณะที่นักดำน้ำตามซากเรือจะต้องการมีดที่โต แข็งแรง บึกบึนกว่า แต่นักดำน้ำโดยทั่วไป มักมีความต้องการคล้ายคลึงกัน คือ อยากได้มีดสัก เล่มที่ใช้งานได้เอนกประสงค์

2. ควรมีความสมดุลย์ระหว่างตัวมีดและด้ามจับ ความสมดุลย์ในที่นี้รวมหมายถึงทุกชิ้นของมีด ได้แก่ ใบมีด กั่น ปุ่ม ด้ามมีด ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะต้องผสมผสานกันเป็นหนึ่งเดียว และเหมาะเจาะ

3. พวกที่ดำน้ำทำงานในน้ำเย็นจัดซึ่งจะต้องสวมถุงมือหนาๆ มักจะเลือกมีดชนิดที่มีด้ามจับใหญ่เพื่อจับกุมที่มั่นคงและทำงานได้คล่องตัว ด้ามจับจะทำด้วยยางหรือไม่ก็ พลาสติก แต่ด้ามยางจะให้ความกระชับกว่า ส่วนด้ามพลาสติกนั้นให้อายุในการใช้งานได้นานกว่า

4. คมมีดจะต้องมีระยะเวลาที่รักษาความคมของตัวเองได้นานสมเหตุผลก่อนที่จะมีการ ลับแต่งคมใหม่ นี่คือจุดสำคัญ ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วทั้งมีดดำน้ำและมีดเดินป่ามักจะ เลือกใช้ 440-C ผลิตเป็นใบมีด ซึ่งมีใบมีดเหนียวแน่น แข็ง คม และสามารถตกแต่งยกคมให้มีความคมอยู่ได้เป็นเวลานาน

5. ปลอกมีดจะต้องมีขนาดพอดี ไม่คับไม่หลวมจนเกินไป และไม่ใหญ่โตเทอะทะจนเกินความจำเป็น และที่สำคัญปลอกมีดควรทำมาจากสารชนิดใหม่อย่าง "นีโอบรีน" หรือ "อีลาสติค" ซึ่งมีส่วนผสมของพลาสติกกับยางและสารสังเคราะห์อีกบางชนิด เพราะมันจะให้ความรู้สึกแน่นกระชับในยามสอดเก็บมีดหรือเมื่อรัดมีดนั้นไว้ กับขาหรือแขนของเรา และมันทนทานในการใช้งานในน้ำได้หลายๆอุณหภูมิ ไม่เหมือนพลาสติกซึ่งมักจะมีริ้วรอยข้างๆเมื่อนำไปใช้ในน้ำเย็นจัดบ่อยครั้ง และนานเกินไป

ที่มา http://www.e-travelmart.com/
|

ลับมีด อย่างไรให้คมกริบ

หินลับมีดจะมี 2 แบบ คือ ด้านหนึ่งมีลักษณะหยาบ อีกด้านมีลักษณะละเอียด แต่หินลับมีดบางรุ่นจะมีทั้ง 2 ด้าน อยู่ในก้อนเดียวกัน ไม่ว่าหินลับมีดจะเป็นแบบใด เราก็สามารถ ใช้ลับมีดของเราได้ดีทั้งสิ้น มันอยู่ที่วิธีการลับมีด ไม่ใช่หินที่ลับ การใช้น้ำหรือน้ำมันเข้าช่วยในขณะที่ทำการลับมีดนั้นจะช่วยให้ลับมีดได้คมดี ยิ่งกว่าเอามีดมาถูกับหินลับแบบ แห้งๆ น้ำหรือน้ำมันจะช่วยลดความฝืดทานยามที่ใบมีดเสียดสีกับหิน และช่วยยืดอายุการใช้งานของหินลับออกไปได้อีกด้วย ขั้นตอนการลับมีดก็มีดังนี้

1. ก่อนลงมือลับมีด ให้หยดน้ำมันลับมีดลงบนหินลับมีดเสียก่อน ถ้าหาน้ำมันไม่ได้ ให้ใช้น้ำธรรมดา จุดมุ่งหมายก็เพียงแต่ต้องการลดแรงเสียดทานเท่านั้นเอง ถ้าลับมีดแบบ แห้งๆ หินลับมีดจะชำรุดเร็ว

2. วางใบมีดให้ทำมุมกับตัวหินลับมีดราว 20 º แล้วเลื่อนใบมีดไปทางหนึ่งทางใดราว 10 ครั้ง แล้วกลับคมอีกด้านเพื่อทำแบบเดียวกันหรือลับไปจนกว่าเราจะพอใจในความ คมของมัน

ตอนแรกให้ลับมีดด้านหยาบก่อน จากนั้นจึงค่อยมาลับกับหินลับทางด้านละเอียด(หินลับทางด้านหยาบลับให้คม ส่วนหินลับทางด้านละเอียดจะใช้ในการยกและปรับคมมีดที่คม ดีแล้วให้ราบเรียบสนิท การปรับคมมีดเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นพอๆกับการลับคมมีด

กระบวนการใบ มีดนี้เรารู้จักกันในชื่อ"การทำคมใบมีดให้เป็นแนวตรง" อนึ่งความลื่นเป็น อุปสรรคต่อการที่จะจรดใบมีดให้ได้เหมาะ วิธีที่ได้ผลก็คือ ใช้นิ้วมือตรงกลางทั้งสามกดลงบนใบมีดเพื่อให้ติดอยู่กับหน้าหินตลอดเวลาที่ ลากใบมีด พยายามให้นิ้วมืออยู่ ห่างออกมาจากคมมีด

3. ดึงใบมีดให้ไปทางเดียวกันเหมือนกับว่า เรากำลังจะตัดฝานหินลับมีดหรือเฉือนเนื้อหินนั่นเอง อย่าดึงใบมีดให้หนักเกินไปหรือเบาเกินไป ทำให้พอเหมาะพอดี ข้อควร ระวังก็คืออย่าจับใบมีดในลักษณะแบนราบแนบหินลับมีดมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดรอยขีดข่วนที่เรียกกันว่า "ขนนก" หรือ "ขนแมว" บนใบมีด ทำให้หมดความสวยงาม ไปเปล่าๆ

4. หลังจากลับมีดจนคมแล้วให้ทดสอบกับกระดาษธรรมดาๆแผ่นหนึ่ง ถ้ามีดนั้นคมจริง จะสามารถเฉือนกระดาษออกได้อย่างง่ายดายหลายๆครั้ง แต่ถ้ายังไม่คมพอก็ต้องลับ ใหม่

เมื่อลับมีดจนคมเป็นที่พอใจแล้ว จึงชะโลมน้ำมันบนใบมีดอีกครั้งหนึ่ง และอย่าลืมทำความสะอาดหินลับมีดด้วย กล่าวได้ว่าการลับมีดเป็นทั้งวิธีการและศิลปะ สำหรับวิธีการ นั้นก็ได้กล่าวไปแล้ว ส่วนศิลปะเป็นสิ่งที่จะต้องเพียรทำ ถ้าเรามีใจรัก เราก็อาจจะเป็นนักเลงมีดที่ดีได้ คำว่า "นักเลงมีดที่ดี" นั้น ในที่นี้หมายความว่าเป็นคนรู้จักใช้และถนอม มีดนั่นเอง ไม่ใช่ผู้ที่นำมีดเอาไปไล่ฟันไล่แทงผู้อื่น


ที่มา http://www.e-travelmart.com/
|

ปัญหาและวิธีการแก้ไขของมีดทั่วๆไป

มี 3 ประการ ได้แก่ สนิม มีดมีกลิ่นเมื่อเสร็จจากการใช้งาน และความคมของมีด

1. เมื่อมีดเป็นสนิม สนิมกับมีดมักจะเป็นของคู่กัน แต่เรามีวิธีแก้ไขง่ายๆ คือ ใช้หัวหอมหรือมะนาวผ่าซีกนำมาถูที่ใบมีดไปมาสักพัก สนิมก็จะหลุดออกหมด ถ้าเราไม่ชอบวิธี นี้เพราะมะนาวมันแพง ก็ลองนำมีดมาปักลงไปในดินเหนียว แล้วทิ้งไว้สักชั่วโมงหนึ่ง

จากนั้นนำมาขัดด้วยขี้เถ้า มีดของเราก็จะสะอาดปราศจากสนิมอีกต่อไป เมื่อขจัดสนิม ออกไปหมดแล้วและไม่อยากให้สนิมเกิดขึ้นมาอีก วิธีการก็ไม่ยากเลย โดยการนำผ้ามาเช็ดมีดให้สะอาด แล้วใช้น้ำมันลับมีดหรือน้ำมันที่ใช้กับจักรเย็บผ้ามาทาให้ทั่วแล้วทิ้งไว้ เวลาจะใช้ก็เพียงแต่เช็ดน้ำมันออกเท่านั้นเอง หรือจะใช้ขมิ้นมาถูที่ใบมีดให้ทั่ว สนิมก็จะไม่มาเยี่ยมอีกเลย

นอกจากนี้ยังมีวิธีขจัดสนิมอีกวิธีหนึ่ง คือ เอาน้ำส้มสายชูใส่ ภาชนะแล้วนำไปตั้งไฟให้เดือด นำมีดไปจุ่มไว้สักพักใหญ่ๆ จากนั้นจำไปแกว่งในน้ำเย็นๆอีกทีหนึ่ง ล้างแล้วเช็ดให้สะอาดก็จะได้มีดที่เหมือนใหม่เลยทีเดียว

2. มีดมีกลิ่นเมื่อเสร็จจากการใช้งาน เช่น กลิ่นหัวหอมหรือกลิ่นกระเทียม เป็นต้น วิธีการแก้ไขก็ไม่ยากเลย เพียงนำมีดมาอังไฟสัก 2-3 นาที หรือจะใช้มีดเฉือนกับมันฝรั่งดิบ หรือไม่ก็ใช้รากของต้นคึ่นฉ่ายมาขัดก็ได้ กลิ่นต่างๆที่ติดอยู่กับใบมีดจะหายไปทันท

3. การรักษาความคมของมีด ไม่ว่ามีดนั้นจะมียี่ห้อใดและวิเศษแค่ไหนก็ตาม การใช้ก็ต้องรู้จักระมัดระวังดูแลรักษา

คือ

3.1) ไม่นำไปใช้ในสิ่งที่ไม่ควรใช้

3.2) หลังการใช้มีด


ควรล้างด้วยน้ำจืดสะอาดๆ ถ้ามีดมีคราบสกปรกมากๆก็ให้ใช้สบู่อย่างอ่อนล้างออกและเช็ดให้แห้งด้วยผ้า ที่ทำจากใยสังเคราะห์ ไม่ควรใช้ฝอยเหล็กขัด คราบนั้นออกใบมีดจะต้องแห้ง ถ้าเก็บมีดในซองหนังก็ต้องทำความสะอาดซองหนังบ้างด้วยสบู่อ่อนๆหรือน้ำยาทำ ความสะอาดหนัง

และเพื่อยืดอายุการใช้งานของมีด ควรใช้ วาสลินเคลือบใบมีดไว้บางๆสำหรับป้องกันอาการกร่อนตัวของโลหะก่อนเก็บเข้าซอง มีด อนึ่งเมื่อทำความสะอาดใบมีดแล้วก็อย่าลืมทำความสะอาดด้ามมีดด้วย และรู้จักหมั่น ลับใบมีดอยู่เสมอ

3.3) 3.3) ทุกครั้งที่นำมีดใช้กับงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำเค็ม ต้องล้างมีดให้สะอาดด้วยน้ำจืด และพ่นสเปรย์น้ำยารักษาใบมีดก่อนเก็บเข้าปลอกมีด เพื่อรักษาใบมีดและป้องกัน สนิมไปในตัว

ที่มา http://www.e-travelmart.com/
|

เทคนิคการเลือกซื้อมีด

สำหรับคนที่นิยมการใช้ชีวิตกลางแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะขาดเสียมิได้ในกระเป๋าหรือที่สะเอวของเขาเหล่านั้นก็ คือ "มีดคู่มือ" หรือ "มีด ประจำตัว" สักเล่ม

ในปัจจุบันมีมีดที่ออกแบบมาสำหรับคนกลางแจ้งโดยเฉพาะมากมายหลายรูปแบบ มีดที่มีใบมีดตรงซึ่งมักจะขายควบคู่กับซองหนังเป็นมีดที่นิยมกัน อย่างกว้างขวางในหมู่นักแค้มป์ มีดชนิดนี้ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับการใช้งาน และมีความทนทานเป็นอย่างยิ่ง

ใบมีด
เหล็กซึ่งใส่โครเมี่ยมลงไปด้วย 14% เรียกกันทั่วๆไปว่า "สแตนเลส สตีล" แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะปลอดจากสนิมแน่นอน เพียงแต่มันมีคุณสมบัติในการต้านสนิม เพิ่มมากขึ้น

ใบมีดสแตนเลส สตีล ก็มีจุดเด่นอยู่เหมือนกันตรงที่เมื่อลับมีดให้คมแล้วเอาเก็บไว้ ความคมนั้นจะคงรูปอยู่นาน ในขณะที่ใบมีดที่เป็นเหล็กผสมคาร์บอนจะมีความทื่อเร็วกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอณูในส่วนประกอบของเนื้อเหล็ก เหตุผลนี้เองที่ทำให้สเตนเลส สตีล ดูเหมือนจะเป็นวัสดุที่ดีกว่าเมื่อนำมาทำใบมีด

หลัก 3 ประการ..สำหรับบุคลิกภาพของเหล็กใบมีด คือ

1. ความแข็ง
2. ความเหนียว
3. ความคงทน

ความแข็งเป็นบุคลิกภาพที่โยงใยกับความคงทน เหล็กที่แกร่งมักจะมีความคมเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่บิ่นง่าย ส่วนความเหนียวก็คือไม่หักหรือเปราะ แต่ความแข็งกับความเหนียวมีผล ในทางลบซึ่งกันและกัน เหล็กยิ่งแกร่งก็ยิ่งเหนียวน้อย คือ แกร่งแข็งแต่หักง่าย ดังนั้นเหล็กยิ่งแกร่งมาก ความคงทนอันเป็นรูปลักษณ์ของใบมีดจึงยิ่งลดลง ดังนั้นในการเลือก ใบมีดควรพิจารณาความแกร่ง เพราะนั้นหมายถึงเราได้ความคมและความเหนียวเป็นเรื่องรอง เราสามารถยืดอายุของใบมีดได้ด้วยการใช้อย่างระมัดระวังและต้องเอาใจใส่ ดูแลรักษา

โดยปกติส่วนใหญ่แล้ว ช่างมีดจะใช้โลหะชนิด "สแตนเลส สตีล 440-C" มาผลิตเป็นใบมีด ซึ่งไม่ได้หมายความว่า 440-C เป็นโลหะที่ดีเลิศสมบูรณ์แบบแต่อย่างใด ถ้าเทียบ กันทางด้านความแข็งหรือการรักษาความคมแล้ว ยังมีโลหะแบบอื่นๆเหนือกว่า 440-C ถมเถไป มีดที่ผลิตด้วยสแตนเลส 440-C นั้น จะเป็นโลหะที่มีเนื้อเปราะ ทำให้คมมีด ปราศจากความแกร่ง เกิดอาการบิ่นทื่อสึกหรอง่าย แต่จากการที่เป็นที่นิยมในการผลิตหรือนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ก็คือ มันมีคุณสมบัติด้านปลอดสนิมที่ดีเยี่ยม

ค่าความแข็งของใบมีด
"ค่าของความแข็งกับการรักษาความคมนั้น มันเป็นปฏิภาคผกผันต่อกัน" หมายความ ว่าถ้าค่าความแข็งมากมีดอาจรักษาความคมได้น้อย แต่ถ้าค่าของความแข็งน้อย มีดก็จะ รักษาความคมได้มาก

การวัดค่าความแข็งของโลหะนั้นเขาใช้เครื่องวัดโดยการตอกหัวเพชรลงบนแท่งโลหะ หรือบนใบมีดที่ขึ้นรูปแล้ว ได้ระดับความลึกเท่าไร ก็จะอ่านค่าออกมาเป็นความแข็ง สัมพัทธ์ของโลหะชิ้นนั้นเทียบความแข็งของเพชรซึ่งมีค่าเป็นศูนย์ วิธีนี้ยึดถือกันเป็นมาตราฐาน ฉะนั้นถ้าโลหะแข็ง..ระดับความลึกก็จะน้อย ค่าความแข็งสัมพัทธ์ของโลหะจึง น้อยตามค่าที่อ่านได้ และถ้าโลหะอ่อน..ระดับความลึกก็จะมาก ค่าความแข็งสัมพัทธ์ของโลหะจึงมากตามกัน ค่าความแข็งสัมพัทธ์ของโลหะนี้ เรามีหน่วยวัดกันเป็น " ร็อคเวลล์" (ROCKWELL) เช่น โลหะที่มีความแข็ง 54 ร็อคเวลล์ กับโลหะที่มีความแข็ง 64 ร็อคเวลล์นั้น โลหะ 54 ร็อคเวลล์ จะแข็งกว่า 64 ร็อคเวลล์ อยู่ 10 เท่า เมื่อ เทียบกับความแข็งของเพชร

คุณภาพของมีด
เรา สามารถดูได้จากคมมีด ต้องเลือกมีดที่มีส่วนคมค่อนข้างแข็ง แต่ต้องไม่แข็งจนเกินไปเพราะจะลับมีดได้ยาก ถ้าคมมีดอ่อนก็จะบิ่นง่ายเมื่อถูกของแข็งๆ โดยทั่วไปในแค ตตาล็อคมีดจะมีการแจ้งระดับความแข็งของเหล็กใบมีดที่ทดสอบโดยเครื่องทดสอบ ความแข็งของร็อคเวลล์ไว้ สำหรับใบมีดโดยทั่วไปจะนิยมใช้เหล็กที่มีความแข็งระดับ RC57-60 ถ้าหมายเลขนี้สูงขึ้น..ความเหนียวของเหล็กใบมีดก็จะมากขึ้น แต่ถ้าหมายเลขต่ำกว่านี้..ความเหนียวของเหล็กใบมีดก็จะลดน้อยลง

ลักษณะของมีดเดินป่าที่ดี
เรา สามารถดูได้จากคมมีด ต้องเลือกมีดที่มีส่วนคมค่อนข้างแข็ง แต่ต้องไม่แข็งจนเกินไปเพราะจะลับมีดได้ยาก ถ้าคมมีดอ่อนก็จะบิ่นง่ายเมื่อถูกของแข็งๆ โดยทั่วไปในแค ตตาล็อคมีดจะมีการแจ้งระดับความแข็งของเหล็กใบมีดที่ทดสอบโดยเครื่องทดสอบ ความแข็งของร็อคเวลล์ไว้ สำหรับใบมีดโดยทั่วไปจะนิยมใช้เหล็กที่มีความแข็งระดับ RC57-60 ถ้าหมายเลขนี้สูงขึ้น..ความเหนียวของเหล็กใบมีดก็จะมากขึ้น แต่ถ้าหมายเลขต่ำกว่านี้..ความเหนียวของเหล็กใบมีดก็จะลดน้อยลง

1. ควรเป็นมีดที่ใช้งานได้ทุกประเภท เพราะการไปตั้งแค้มป์แต่ละครั้ง เครื่องมือในการช่วยหาฟืน หากิ่งไม้มาทำขาตั้งหม้อสนามหรือทำเพิงที่พักต่างๆ เราก็ต้องใช้มีด สนามหรือมีดเดินป่า ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบมากมาย อาทิ มีดโบวี่..เป็นมีดที่นิยมใช้กันมาก บางแบบมีด้ามจับกลวงซึ่งจะบรรจุสิ่งของจำเป็นไว้มาก เช่น เข็ม เบ็ดตกปลา เอ็น ด้าย เลื่อยเส้นเล็กๆ เข็มทิศ เป็นต้น

2. ควรเป็นมีดที่มีขนาดกลาง น้ำหนักพอเหมาะที่จะใช้ฟันกิ่งไม้ท่อนไม้ได้ ไม่ควรใช้มีดที่มีขนาดใหญ่หรือเล็กเกินไป และมีดที่เรานำติดตัวไปนั้น ควรต้องมีปลอกมีดด้วย อนึ่งควรมีมีดขนาดเล็กหรือมีดพับติดตัวไปด้วยเสมอ ซึ่งมีดพับบางรุ่นบางชนิดจะมีอุปกรณ์มากมายซ่อนอยู่ในด้ามมีดนั่นเอง

ลักษณะของมีดพับที่ดี
นอก จากมีดเดินป่าแล้ว นักเดินป่าทุกคนควรมีมีดขนาดเล็กหรือมีดพับติดตัวไปด้วยเสมอ ซึ่งมีดพับบางรุ่นบางชนิดจะมีอุปกรณ์มากมายซ่อนอยู่ในด้ามมีดนั่นเอง ซึ่งลักษณะ ของมีดพับที่ดี ได้แก่

1. ปลายมีดเมื่อพับแล้วต้องซ่อนปลายมีดได้สนิทแนบแน่น
2. หมุดซึ่งย้ำตัวด้ามต้องสนิทแนบแน่น ไม่เป็นตะปุ่มตะป่ำจนทำให้เวลาใช้รู้สึกเจ็บมือ
3. ใบมีดที่ดีเมื่อง้างใบมีดออก จะต้องเดินออกจากด้ามมีดอย่างราบรื่น และมีเสียงดังคลิ๊กเล็กน้อย ซึ่งนักเลงมีดเรียกว่า "ใบมีดพูด" นอกจากนี้ใบมีดกับตัวด้ามต้องประสาน กันเป็นแนวตรงเมื่อง้างใบมีดออก ไม่ใช่บิดเบี้ยว เพราะแม้แต่นิดเดียวก็ถือว่าเป็นจุดบอดของมีดนั้น
4. ใบมีด ด้าม และกั่น ซึ่งทำจากเหล็ก ไม้ และทองเหลือง ต้องสอดประสานกันเป็นหนึ่งเดียวโดยไม่มีช่องว่าง
5. สำหรับงานกลางแจ้ง ควรเลือกมีดพับที่มีขนาดใบมีดยาวประมาณ 2-4 นิ้ว (อย่าให้มีขนาดเล็กหรือใหญ่จนเกินไป) จงจำไว้ว่าด้ามมีดควรมีความยาวกว่าใบมีดประมาณ 1 นิ้ว เช่น ถ้ามีดของเรามีใบมีดยาว 4 นิ้ว ความยาวของตัวด้ามก็คือ 5 นิ้ว เมื่อเราดึงมีดออกมาใช้ก็จะมีความยาวทั้งสิ้น 9 นิ้ว ซึ่งน่าจะเพียงพอและเหมาะมือดีสำหรับคนกลาง แจ้งอย่างเราๆ
6. ขณะใช้งาน จงอย่าลืมว่ามีดที่อยู่ในมือของเรา คือ มีดพับขนาดเล็กๆเล่มหนึ่งเท่านั้น จึงไม่ควรใช้งานมีดพับขนาดทารุณกรรม เพราะนอกจากมีดของเราอาจจะเกิด ปัญหาแล้ว มือของเราก็อาจจะมีปัญหาด้วยเช่นกัน

ที่มา http://www.e-travelmart.com/
|

แบตเตอรี่

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ถ่านไฟฉายแบบอัลคาไลน์ที่ใช้แล้วทิ้งนั้นเป็นที่นิยมกันมากในหมู่นักเดินป่า ทั้งหลาย แต่ในระยะหลังนี้ถ่านไฟฉายอีกประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นคือ ถ่านลิเธียม ซึ่งมีน้ำหนักเบา ให้พลังงานสูง ใช้ได้ดีในที่อากาศเย็นและสามารถเก็บไว้ได้นาน นอกจากนี้ ในปัจจุบันผู้ผลิตยังได้ผลิตถ่านลิเธียมในขนาด AA ออกมาอีกด้วย แต่อย่างไรก็ดี ตลาดถ่านไฟฉายในปัจจุบันไม่ได้แข่งที่ประเภทถ่านอัลคาไลน์หรือลิเธียมเพียง อย่างเดียว แต่จะเป็นการแข่งขันกันระหว่างถ่านไฟฉายแบบที่ใช้แล้วทิ้ง (Throwaways) กับแบบที่สามารถประจุไฟเข้าไปใหม่ได้ (Rechargeables) หรือที่เรียกกันว่าถ่านแบบรีชาร์จ

ถ่านไฟฉายในตลาดปัจจุบันที่ใช้กันในการเดินป่า สามารถแบ่งออกได้เป็นประเภทต่างๆ ดังนี้

ถ่านคาร์บอนเคลือบสังกะสี (Carbon-zinc cells)

ถ่านไฟฉายทั่วๆ ไปจะมีหลักการทำงานคร่าวๆ คือ ใช้คาร์บอนเป็นขั้วบวก หุ้มด้วยแอมโมเนียมคลอไรด์ และเคลือบด้านนอกด้วยสังกะสีซึ่งเป็นขั้วลบ เมื่อมีปฏิกิริยาทางเคมีเกิดขึ้นจะให้อิเล็กตรอนออกมา และเปลี่ยนพลังงานเคมีเป็นพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง แต่ถ้าปฏิกิริยาเคมีดังกล่าวเกิดการย้อนกลับก็จะทำให้เราสามารถประจุไฟเข้า ไปในแบตเตอรี่ใหม่ได้หรือที่เรียกว่าการรีชาร์จนั่นเอง แต่ถ่านคาร์บอนเคลือบสังกะสีในประเภทนี้เป็นถ่านไฟฉายรุ่นแรกๆ ที่ไม่สามารถจะรีชาร์จได้ และในปัจจุบันก็ได้มีถ่านประเภทอื่นๆ ออกมาแทนที่จำนวนมาก

Zinc Carbon

Alkaline

ถ่านอัลคาไลน์แบบใช้แล้วทิ้ง (Disposable alkaline cells)

ถ่านอัลคาไลน์ที่ใช้แล้วทิ้งได้เริ่มมีใช้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1958 (พ.ศ. 2501) ซึ่งเมื่อแรกเริ่มนั้นเป็นที่นิยมกันมากเพราะสามารถให้พลังงานได้มากกว่า ถ่านไฟฉายแบบเก่า แต่ในระยะหลังเริ่มมีคนตระหนักกันถึงปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมที่เนื่องมาจาก การใช้ถ่านอัลคาไลน์แบบใช้แล้วทิ้งกันมากขึ้น เนื่องจากไฟฉายประเภทนี้มีสารปรอทเป็นส่วนประกอบและเนื่องจากปริมาณการใช้ งานที่นิยมกันมากจนทำให้เกิดปัญหาขยะมีพิษเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก ดังนั้นผู้ผลิตจึงได้พยายามมากขึ้นที่จะพัฒนาถ่านอัลคาไลน์ให้ไม่เป็น อันตรายต่อสภาพแวดล้อม ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 ได้มีผู้ผลิตถ่านอัลคาไลน์แบบที่มีสารปรอทต่ำลงออกมา และในปี 1990 ก็ได้มีถ่านอัลคาไลน์แบบปลอดสารปรอทเกิดขึ้น (เช่นถ่านดูราเซลล์ และอีเนอร์ไจเซอร์ ที่นิยมกันในปัจจุบันนั่นเอง) แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การที่มีปริมาณการใช้งานถ่านอัลคาไลน์จำนวนมากในปัจจุบันก็ยังก่อให้เกิด ปัญหาเรื่องขยะพิษไปทั่วโลกอยู่ดี ยกตัวอย่างเช่น เฉพาะในประเทศอเมริกามีการทิ้งถ่านอัลคาไลน์จำนวนถึง 2 พันล้านก้อนต่อปี ข้อเสียที่สำคัญของถ่านอัลคาไลน์แบบใช้แล้วทิ้งนี้ก็คือจะมีประสิทธิภาพลดลง อย่างมากในสภาพอากาศที่หนาวเย็น

ถ่านอัลคาไลน์รีชาร์จ (Rechargeable alkaline)

ถ่านอัลคาไลน์รีชาร์จเริ่มมีใช้เมื่อ ค.ศ. 1993 ให้พลังงาน 1.5 โวลต์เท่ากับถ่านอัลคาไลน์แบบใช้แล้วทิ้ง แต่เมื่อมีการชาร์จใหม่เรื่อยๆ ประสิทธิภาพของถ่านจะลดลงตามจำนวนการชาร์จในแต่ละครั้ง ถึงแม้จะมีการดูแลรักษาและชาร์จอย่างดีก็ตาม เมื่อชาร์จไปประมาณสิบครั้งประสิทธิภาพจะลดลงเหลือประมาณ 60% และเมื่อชาร์จไปสามสิบครั้งประสิทธิภาพจะลดลงเหลือเพียง 40% และลดลงไปเรื่อยๆ ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบระหว่างถ่านอัลคาไลน์รีชาร์จกับถ่านนิแคดจึงเห็นได้ชัดว่า ถ่านนิแคดมีอายุการใช้งานนานกว่ากันมาก นอกจากนี้ เพื่อให้ถ่านอัลคาไลน์รีชาร์จมีอายุการใช้งานยาวนานที่สุด เราควรจะต้องรีชาร์จถ่านอย่างสม่ำเสมอและอย่าปล่อยให้แบตเตอรี่หมดเกลี้ยง และจำเป็นจะต้องใช้เครื่องชาร์จเฉพาะด้วย

บริษัทเยอรมนีบริษัทหนึ่งได้ผลิตถ่านอัลคาไลน์รีชาร์จยี่ห้อ Accucell ขึ้น โดยความสามารถมากขึ้น ซึ่งมีข้อดีที่สำคัญกว่าถ่านอัลคาไลน์รีชาร์จสมัยก่อนคือสามารถรีชาร์จได้ นับร้อยครั้งโดยที่ประสิทธิภาพไม่ตกลงไปมากนัก ทำให้มีคนหันมาให้ความสนใจและเป็นที่นิยมมากขึ้น

ถ่านลิเธียม (Lithium cells)

ได้มีการเริ่มใช้ถ่านลิเธียมครั้งแรกกับไฟฉายติดศีรษะที่ใช้ใน วงการอุตสาหกรรม ซึ่งในขณะนั้นมีราคาแพงมากถึง 20 เหรียญสหรัฐ แต่มีอายุการใช้งานยาวนานมากและยังสามารถใช้งานในสภาพอากาศที่หนาวเย็นมากๆ ได้อีกด้วย แต่เนื่องจากมันมีสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์เป็นส่วนประกอบ จึงถูกห้ามนำขึ้นเครื่องบินไม่ว่าจะติดตัวขึ้นไปหรือใส่ในกระเป๋าเดินทางที่ โหลดไว้ใต้เครื่อง ดังนั้น บริษัทผู้ผลิตจึงได้พัฒนาถ่านลิเธียมประเภทนี้ออกมากลายเป็นลิเธียมธิโอนีล คลอไรด์ซึ่งใช้ได้ดีกับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานต่ำ เช่น หลอด LED (Light-emitting diode) สามารถนำขึ้นเครื่องบินได้ มีการผลิตออกมาในขนาด AA และยังมีราคาที่ถูกลงอีกด้วย (ประมาณ 9 – 11 เหรียญสหรัฐ) เมื่อเทียบกับว่าถ่านก้อนหนึ่งสามารถใช้ได้นานหลายเดือน

เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทเอเวอร์เรดี้ อีเนอร์ไจเซอร์ ได้ผลิตถ่านไฟฉายแบบลิเธียมไอร์ออนไดซัลไฟด์ (Lithium-iron disulfide) ในขนาด 1.5 โวลต์ AA ออกมาสำหรับใช้กับกล้องถ่ายรูปแบบอัตโนมัติ ข้อดีของถ่านชนิดนี้คือมีน้ำหนักเบากว่าถ่านอัลคาไลน์ถึง 60% และสามารถเก็บเอาไว้ได้นานถึงสิบปี แต่อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวว่าถ่านลิเธียมแบบนี้เมื่อเกิดปฏิกิริยาทางเคมีภายใน แล้วจะทำให้ประสิทธิภาพของตัวถ่านลดลงเมื่อใช้กับอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานต่ำ เช่น ไฟฉาย นอกจากนี้ ข้อเสียอีกประการหนึ่งคือ ในการผลิตถ่านลิเธียมแบบนี้นั้นจำเป็นต้องใช้พลังงานในการผลิตถ่านหนึ่งก้อน มากกว่าที่ตัวถ่านไฟฉายเองสามารถจะให้พลังงานได้ โดยใช้พลังงานในการผลิตมากกว่าถึง 50 เท่า ซึ่งความจริงที่น่าเศร้าอีกอย่างก็คือถ่านแบบนี้ไม่สามารถจะรีชาร์จใหม่ได้ ด้วย

Ni-MH

Lithium

ถ่านนิกเกิลแคดเมียมหรือนิแคด (Nickel-cadmium cells, Nicads)

ถ่านนิแคดเป็นถ่านที่สามารถรีชาร์จได้ เริ่มมีใช้ครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1950 และสามารถจะรีชาร์จใหม่ได้นับร้อยครั้ง แต่ในสมัยนั้น นักเดินป่าส่วนใหญ่จะไม่นิยมใช้ถ่านนิแคดเนื่องจากปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการ ชาร์จแบตเตอรี่ นั่นคือเราจำเป็นจะต้องใช้แบตเตอรี่ให้หมดเกลี้ยงก่อนถึงจะชาร์จใหม่ได้ มิฉะนั้นจะทำให้เกิดเมโมรี่เอ็ฟเฟ็กต์ (Memory Effect) ซึ่งหมายถึงการชาร์จแบตเตอรี่ได้เพียงบางส่วน ไม่สามารถชาร์จได้เต็มที่ ซึ่งเกิดจากการชาร์จแบตเตอรี่ในขณะที่แบตเตอรี่เดิมยังไม่หมดดี ทำให้การชาร์จครั้งต่อไปจะใช้เวลาสั้นลงเนื่องจากแบตเตอรี่จะเก็บความจำใน การชาร์จที่สั้นที่สุดเอาไว้ และทำให้ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ลดน้อยลง หรือหากเราชาร์จทิ้งเอาไว้นานเกินไปก็จะทำให้แบตเตอรี่ร้อนมากและเสียหายได้ อีกเช่นกัน ถ่านนิแคดยังให้พลังงานเพียง 1.2 โวลต์ซึ่งน้อยกว่าถ่านอัลคาไลน์ที่ให้พลังงาน 1.5 โวลต์อีกด้วย และนอกจากนี้สารแคดเมียมยังเป็นสารพิษที่อันตรายมากอีกด้วย

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาถ่านนิแคดให้มีคุณภาพดีขึ้นมาก สามารถรีชาร์จได้ง่ายขึ้น และยังมีองค์กรหรือสมาคม (ในต่างประเทศ) ที่คอยรับเก็บถ่านนิแคดที่ใช้แล้วเพื่อเอาไปรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ซึ่งไม่ทำให้เกิดปัญหากับสภาพแวดล้อมอีกด้วย

ถ่านนิกเกิลเมทัลไฮไดรด์ (Nickel-metal hydride, NiMH)

ถ่าน NiMH นี้มีประสิทธิภาพอยู่ตรงกลางระหว่างถ่านนิแคดและถ่านอัลคาไลน์รีชาร์จ ถ่าน NiMH ให้พลังงาน 1.2 โวลต์เหมือนถ่านนิแคดและสามารถชาร์จใหม่ได้หลายร้อยครั้งเช่นกัน แต่การชาร์จถ่าน NiMH จะไม่เกิดเมโมรี่เอ็ฟเฟ็กต์เหมือนถ่านนิแคด ตัวถ่าน NiMH จะสามารถรีชาร์จด้วยตัวเองประมาณ 1-4 % ของพลังงานที่เหลืออยู่ทุกวัน แต่เราไม่สามารถเก็บถ่าน NiMH เอาไว้ได้นานเท่ากับถ่านอื่นๆ

การดูแลรักษาแบตเตอรี่

  • เก็บรักษาในที่อุณหภูมิไม่สูงเกินไป ไม่ควรนำไปตากแดด
  • หลีกเลี่ยงการเก็บในที่เปียกชื้น
  • ควรทำการชาร์ตไฟตามระยะที่บอกไว้ในคู่มือใช้งาน เช่น การใช้งานครั้งแรกควรชาร์ตไฟไว้นาน 10 ชั่วโมงหรือมากกว่าเป็นต้น
  • ไม่ควรนำแบตเตอรี่เก็บไว้ในตัวอุปกรณ์ หากยังไม่ได้ใช้งาน

ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติของแบตเตอรี่


Alkaline
Alkaline Recharge
Lithium
Nicad
Ni-MH
Voltage
1.5
1.5
1.6
1.25
1.2
Initial Chart
yes
yes
yes
no
no
Capacity (mAh2)




AAA
900
630
n.a
240
600
AA
2200
1750
2900
750-1100
1300
C
5000
4500
n.a
2400
2200
Weight (gram)




AAA
9 g
9 g
n.a
10 g
9 g
AA
24 g
22 g
14 g
24 g
25 g
C
70 g
63 g
n.a
75 g
75 g
Self-discharge rate
0.2 %
0.2 %
> 0.1 %
20+%
20+%
Useful shelf life
5 years
5 years
10 years
short
short
Number of cycle
1
8-25
1
50-500+
50-500+
Cost per cycle
high
moderate
very high
very low
very low
Memory effect
n.a
no
n.a
high
low
Disposal hazard
low
low
low
very high
low
ข้อมูลจาก The complete walker IV
thank http://www.mrbackpacker.com/gear/gear_39.html
|

หลอดไฟ

หลอดไฟสำหรับไฟฉายมีหลายแบบหลายลักษณะ วิธีการที่จะหาว่าเราควรจะใช้หลอดไฟแบบใดนั้น ประการแรกต้องดูที่พลังงานของหลอดไฟที่ต้องการก่อน หาได้โดยการคำนวณจากจำนวนแบตเตอรี่ที่ใช้ เช่น หากไฟฉายต้องใช้ถ่านไฟฉาย AA 1.5 โวลต์จำนวน 2 ก้อน ก็แสดงว่าเราต้องใช้หลอดไฟขนาด 3 โวลต์ นอกจากนั้นยังต้องดูด้วยว่าต้องใช้หลอดขนาดกี่แอมป์ ทั่วไปแล้วถ่าน AA สองก้อนต้องใช้หลอดไฟขนาด 0.25 แอมป์ เป็นต้น แต่ไม่ต้องตกใจว่ามันจะยุ่งยากมาก เพราะส่วนใหญ่แล้วเวลาเราซื้อไฟฉายมาเค้าก็มักจะมีหลอดไฟสำรองให้มาด้วย และหากต้องซื้อใหม่เค้าก็จะมีหลอดไฟขายโดยบอกยี่ห้อบอกรุ่นของไฟฉายที่ สามารถใช้ได้อยู่แล้ว หรือมิฉะนั้นเราก็สามารถเอาหลอดเก่าไปให้คนขายดูก็ได้เช่นกัน ปัจจุบัน ได้มีการผลิตหลอดไฟออกมามากมายหลายชนิด ดังนี้

หลอดคริปตัน (Krypton bulbs)

หลอดคริปตันนี้เป็นหลอดไฟที่ใช้กันทั่วไป ให้แสงสีเหลืองเหมือนแสงเทียน บรรจุก๊าซคริปตันภายในหลอด เมื่อใช้ไปนานๆ แร่ทังสเตนจะระเหยออกมาจากขดลวดในหลอดไฟ และไปสะสมและเกาะที่ภายในของแก้วที่ครอบหลอดไฟ ทำให้แสงมีความสว่างลดลงประมาณ 25% ก่อนที่ไส้หลอดจะขาด

หลอดฮาโลเจน (Halogen bulbs)

หลอดฮาโลเจนจะมีขดลวดทังสเตนภายในครอบแก้วควอตซ์ ซึ่งบรรจุก๊าซฮาโลเจน หลอดฮาโลเจนจะให้แสงสว่างมาก มีลำแสงยาวและเป็นแสงขาวซึ่งทำให้เห็นสีและภาพต่างๆ ได้ต่างความเป็นจริง ไอระเหยของแร่ทังสเตนจากขดลวดจะไม่ไปสะสมและเกาะที่บริเวณครอบแก้วด้านในของ หลอดไฟ แต่จะปะปนอยู่กับก๊าซฮาโลเจนภายในหลอด และจะสะสมกลับไปที่ขดลวดอีกครั้ง ซึ่งช่วยให้มีอายุการใช้งานได้นานขึ้น และยังทำให้โอกาสที่แสงจะลดความสว่างลงนั้นน้อยลงเหลือเพียง 10% เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ข้อควรระวังอีกอย่างคือน้ำมันจากนิ้วของเราสามารถจะทำลายครอบแก้วควอตซ์ได้ ทำให้หลอดฮาโลเจนมีอายุการใช้งานน้อยลงผิดปกติ ดังนั้น เวลาเปลี่ยนหลอดฮาโลเจนจึงไม่ควรจะใช้นิ้วสัมผัสโดนหลอด แต่อาจจะใช้คีมคีบหรือใช้ผ้าสะอาดจับหลอดแทน

หลอดฮาโลเจน

หลอดซีนอน (Xenon bulbs)

หลอดซีนอนให้ความสว่างมากกว่าหลอดปกติมาก มักจะใช้กับไฟฉายเฉพาะบางชนิด เช่น Pelican Super Mitylite LMX Laser Spot Xenon Watertight ซึ่งอ้างว่าให้ความสว่างมากกว่าไฟฉายปกติถึง 600% แต่หลอดไฟซีนอนนี้ก็มีข้อเสียที่สำคัญคือเปลืองแบตเตอรี่มาก ราคาแพง และยังมีอายุการใช้งานเพียง 20 ชั่วโมง

ตัวอย่างหลอดไฟคริปตัน
หลอดซีนอน

แอลอีดี (LED arrays)

แอลอีดีย่อมาจาก Light-emitting diode มักจะให้แสงสว่างน้อยกว่าหลอดปกติ แต่ประหยัดพลังงานแบตเตอรี่กว่ามาก นอกจากนี้ แอลอีดีเหมาะสำหรับผู้ที่ชอบอ่านหนังสือในตอนกลางคืนเนื่องจากให้แสงสว่าง โดยที่ไม่เกิดความร้อนมากนัก แอลอีดี มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าหลอดทั่วไปและมีน้ำหนักเบามาก ทำให้เป็นที่นิยมของนักเดินป่าทั่วไป นอกจากนี้ ไฟฉายที่ใช้ แอลอีดี รุ่นใหม่ๆ นั้นจะมีการติดตั้งชิปสำหรับประหยัดพลังงานเอาไว้ด้วย ซึ่งจะให้แสงสว่างได้นานนับร้อยชั่วโมงจากการใช้แบตเตอรี่เพียงหนึ่งชุด อย่างไรก็ดี ข้อเสียของ แอลอีดี บางประการนอกเหนือจากการให้ความสว่างน้อยกว่าหลอดปกติแล้วก็คือ จะมีช่วงลำแสงสั้นทำให้ไม่ค่อยเหมาะที่จะใช้ในการเดินทางที่ต้องคอยมองหาทาง ตอนกลางคืนหรือในที่มืดๆ

หลอดแอลอีดี

ข้อแนะนำสั้นๆ เกี่ยวกับหลอดไฟคือ ควรจะมีหลอดสำรองติดตัวไปด้วยทุกครั้ง เพราะหากหลอดขาดหรือใช้ไม่ได้ระหว่างการเดินทางขึ้นมาจะเป็นเรื่องลำบากมาก ไฟฉายบางยี่ห้อจะทำที่สำหรับเก็บหลอดสำรองไว้ด้วย

thank http://www.mrbackpacker.com/gear/gear_38.html
|

การเลือกซื้อไฟฉาย

ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองแล้ว คุณควรจะมีไฟฉายติดตัวไปทุกครั้งที่คิดจะเข้าป่า เพราะไม่ช้าก็เร็วคุณจะต้องรู้สึกดีใจที่มีไฟฉายติดตัวมาด้วยแน่ๆ เราลองมาดูกันว่าเวลาจะหาซื้อไฟฉายสักอันควรจะพิจารณาอะไรกันบ้าง

ขั้นที่ 1: พิจารณาประเภทของไฟฉายแต่ละชนิด

ปกติแล้วนักเดินป่าส่วนมากมักจะพกไฟฉายขนาดเล็กแบบพกพาติดตัว ไม่ว่าจะเป็นไฟฉายมือถือ หรือไฟฉายติดศีรษะ แต่หากมีการเดินทางกันเป็นหมู่คณะหรือกลุ่มใหญ่ๆ แล้ว บางครั้งอาจจะมีการนำตะเกียงหรือไฟที่ใช้สำหรับให้ความสว่างในบริเวณกว้างไป ด้วย เพื่อความสะดวกสบายในการทำกิจกรรมต่างๆ

  • ไฟฉายแบบพกพา (Personal flashlights) – หมายถึงไฟฉายขนาดเล็กที่ใช้แบตเตอรี่หรือถ่านไฟฉายเป็นแหล่งกำเนิดไฟ เป็นไฟฉายที่เป็นที่นิยมกันมากที่สุดเนื่องจากมีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และง่ายต่อการใช้งาน และยังสามารถจะกำหนดทิศทางของไฟที่เราต้องการได้ด้วยว่าจะส่องไฟไปทางใด
  • ไฟฉายติดศีรษะ (Headlamps) – มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับไฟฉายแบบพกพา แต่จะมีข้อดีเหนือกว่าตรงที่ว่าสามารถทำให้เราใช้มือทั้งสองข้างได้โดยไม่ ต้องใช้มือข้างใดข้างหนึ่งไปถือไฟฉายเอาไว้ จะสะดวกมากเวลาเราต้องการตั้งเต็นท์ ทำกับข้าว หรือทำกิจกรรมอย่างอื่นที่ต้องใช้มือทั้งสองข้างพร้อมกัน


  • ตะเกียง (Candle lanterns) – จะให้แสงสว่างที่คงที่ และมักจะมีราคาไม่แพงมากนัก เหมาะสำหรับการใช้งานในเวลาที่ต้องการจะอ่านหนังสือ หรือรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่ไม่ต้องการแสงที่สว่างมากนัก แต่ต้องการแสงในช่วงเวลานานๆ และยังประหยัดแบตเตอรี่อีกด้วย
  • ตะเกียงหรือไฟสำหรับส่องบริเวณ (Lanterns/area lights) – เหมาะสำหรับเวลาที่ต้องการแสงสว่างในบริเวณกว้าง ใช้ในการเดินทางที่มีระยะเวลาค่อนข้างยาวนาน และมีสมาชิกจำนวนมาก แต่ตะเกียงหรือไฟส่องบริเวณนี้จะมีน้ำหนักมากกว่าไฟฉายหรือตะเกียงชนิดอื่นๆ และต้องใช้ก๊าซหรือเชื้อเพลิงเหลวเป็นแหล่งเชื้อเพลิงแทนแบตเตอรี่ ซึ่งอาจจะยากต่อการติดตั้ง

ขั้นที่ 2: พิจารณาประเภทของแหล่งพลังงานที่จะใช้

เราจำเป็นจะต้องพิจารณาถึงแหล่งพลังงานที่จะใช้กับไฟฉายหรือ ตะเกียงของเราด้วย เนื่องจากเราจำเป็นจะต้องรู้ด้วยว่าแบตเตอรี่หรือเชื้อเพลิงที่จะใช้นั้นมี น้ำหนักมากเพียงใด ใช้ได้นานแค่ไหน และใช้ง่ายหรือยาก เพราะมันหมายถึงว่าน้ำหนักของเชื้อเพลิงจะกลายเป็นภาระหนักสำหรับเราเพิ่ม ขึ้นอีกด้วยเช่นกัน

  • ถ่านไฟฉาย (Batteries) – เป็นตัวเลือกที่สะดวกสบาย หาง่าย และราคาไม่แพง แต่มันก็อาจจะมีน้ำหนักมากได้หากเราต้องเดินทางในระยะเวลานานๆ และต้องเตรียมถ่านไฟฉายไปจำนวนมากๆ แต่อย่าลืมว่าไม่ว่าเราจะเอาเข้าไปเท่าใด เมื่อใช้หมดแล้วเราควรจะต้องเอาติดตัวกลับออกมาทิ้งให้ถูกต้องข้างนอกด้วย ทุกครั้ง
  • อัลคาไลน์ (Alkaline) – ราคาถูก ใช้ได้นาน และเวลาแบตเตอรี่ใกล้จะหมดมันจะค่อยๆ หรี่ลงทีละนิดๆ ทำให้เรารู้ได้ว่าใกล้เวลาที่แบตเตอรี่จะหมดแล้ว แต่ข้อเสียคืออัลคาไลน์ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในบริเวณที่อากาศ หนาวเย็น
  • ลิเธียม (Lithium) – มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าอัลคาไลน์ น้ำหนักเบากว่า และสามารถใช้ในสภาพอากาศหนาวเย็นถึงขนาดติดลบได้โดยแทบจะไม่มีปัญหาเรื่อง ประสิทธิภาพลดลงเลย แต่ลิเธียมก็มีราคาแพงกว่าอัลคาไลน์พอสมควร และเมื่อใช้จนแบตเตอรี่หมดแล้วมันก็จะดับทันทีโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าเลย


  • นิกเกิลแคดเมียม (Nickel-cadmium) – ราคาอาจจะดูแพงหากซื้อในครั้งแรก แต่ในระยะยาวแล้วจะคุ้มกว่ามาก เพราะสามารถรีชาร์จใหม่ได้หลายครั้งมาก บางก้อนอาจจะรีชาร์จใหม่ได้นับ 1,000 ครั้ง แต่ในการชาร์จแต่ละครั้งก็ไม่สามารถจะใช้งานได้นานเท่าอัลคาไลน์หนึ่งก้อน และบางครั้งประสิทธิภาพอาจจะลดหย่อนไปบ้างในการชาร์จแต่ละครั้ง ปัจจุบันมีเครื่องชาร์จพลังแสงอาทิตย์ที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบาจำหน่าย แล้ว ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการนำติดตัวไปเที่ยวด้วย
  • เทียนไข (Candles) – มีน้ำหนักเบา ราคาถูก และใช้ได้นานจนกว่าจะหมด (ไม่มีวันหมดอายุ!) แต่แทบจะให้ความอบอุ่นไม่ได้เลย และอาจจะไม่สว่างเท่ากับแหล่งพลังงานอื่นๆ และยังอาจจะก่อให้เกิดอันตรายหรือไฟไหม้ได้หากใช้ไม่ระวัง
  • เชื้อเพลิงเหลว / ก๊าซกระป๋อง (Liquid fuel, compressed gas) – ตะเกียงหรือไฟส่องบริเวณบางชนิดสามารถจะใช้เชื้อเพลิงหรือก๊าซชนิดเดียวกับ ที่ใช้สำหรับการหุงหาอาหารได้ ซึ่งเป็นเรื่องสะดวกมากเพราะเราสามารถหาเราต้องใช้เชื้อเพลิงดังกล่าวอยู่ แล้ว แต่ในบางครั้ง ก็จำเป็นจะต้องเอาเชื้อเพลิงไปเพิ่มมากขึ้นจากเดิมเพราะต้องใช้ทั้งทำอาหาร และให้ความสว่าง หรือหากเราเอาไปไม่พอก็อาจจะไม่มีไฟใช้เมื่อทำอาหารอยู่ก็เป็นได้

ขั้นที่ 3: พิจารณาลักษณะการใช้งาน

ก่อนอื่นเราควรจะคิดและพิจารณาความต้องการของเราเองก่อนว่าเราต้องการไฟฉายไปเพื่อทำอะไร โดยการตอบคำถามดังต่อไปนี้

  • คุณต้องการไฟที่น้ำหนักเบาและพกพาสะดวกหรือไม่
  • คุณต้องการไฟที่สามารถปรับระดับความสว่างได้ด้วยหรือไม่
  • คุณต้องการไฟที่สามารถเปิด-ปิดได้ง่ายๆ หรือไม่
  • คุณต้องการไฟที่สามารถจะส่องโฟกัสไปที่จุดใดจุดหนึ่งได้หรือไม่
  • คุณต้องการไฟที่สามารถจะแขวนไว้สูงๆ เพื่อให้ความสว่างรอบบริเวณได้หรือไม่
  • คุณต้องการไฟที่สามารถจะถือหรือสวมใส่ได้เวลาทำงานต่างๆ โดยสามารถใช้สองมือได้อย่างอิสระหรือไม่

เมื่อตอบคำถามต่างๆ เหล่านี้ได้แล้ว คุณจึงจะรู้ได้ว่าไฟฉายหรือตะเกียงชนิดใดเหมาะกับความต้องการของคุณ

thank http://www.mrbackpacker.com/gear/gear_40.html
|

ส่วนประกอบของไฟฉาย

ไฟฉายประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ หลายส่วน เช่น หลอดไฟ กระบอกไฟ ฯลฯ ซึ่งเราจะมารู้จักกับส่วนประกอบต่าง ๆ ของไฟฉายกันว่ามีอะไรบ้าง แต่ละส่วนมีหน้าที่อย่างไร

กระจกหน้าไฟฉาย - หน้าหลอดไฟฉายจะมีกระจกกั้นเอาไว้ ทำหน้าที่ป้องกันหลอดไฟจากความเสียหายอันเนื่องมาจากสาเหตุต่าง ๆ และกระจกหน้าในไฟฉายบางรุ่น ยังสามารถเปลี่ยนสีได้ เพื่อให้ไฟมีสีต่าง ๆ กันออกไปตามการใช้งาน เช่น สีแดง สีส้ม เป็นต้น

หลอดไฟ - ทำหน้าที่ให้แสงสว่าง

วงแหวนปรับระดับแสงไฟ - วงแหวนนี้จะอยู่บริเวณด้านหน้าของไฟฉาย เราสามารถหมุนเพื่อปรับการซูมของแสงไฟได้ ซึ่งหากไฟฉายซูมไปที่องศาแคบ ไฟจะส่องไปได้ไกล ถ้าซูมไปที่องศากว้าง ก็จะส่องสว่างได้กว้างกว่า แต่ส่องได้ในระยะที่ใกล้กว่า

กระบอกไฟฉาย - เป็นส่วนที่เป็นแกนกลางของไฟฉาย มีลักษณะเป็นกระบอก ใช้เป็นที่จับเวลาใช้งาน ภายในจะเป็นช่องกลวงสำหรับเก็บแบตเตอรี่

ฝาปิดท้าย - ฝาปิดท้ายจะมีโลหะเพื่อเชื่อมกระแสไฟฟ้าระหว่างแบตเตอรี่กับขั้วที่อยู่ด้าน หน้าของไฟฉาย และใช้ป้องกันมิให้แบตเตอร์รี่หลุดออกมาจากตัวไฟฉาย

ยาง O-ring - ยางนี้จะช่วยในการกันน้ำไม่ให้น้ำเข้าสู่ตัวไฟฉาย ซึ่งมักจะอยู่บริเวณฝาปิดท้าย และด้านหน้าของไฟฉาย

สายคาดศรีษะ - สำหรับไฟฉายแบบคาดศรีษะ จะมีสายคาดศรีษะซึ่งเป็นวัสดุที่ยืดตัวได้ สามารถปรับระดับให้มีขนาดเหมาะสมกับศรีษะของแต่ละคน

thank http://www.mrbackpacker.com/gear/gear_37.html
|

ชนิดของไฟฉาย

เวลาเราเตรียมตัวเดินป่า เรามักจะพยายามเอาของไปให้น้อยที่สุด เบาที่สุด แต่เราก็ต้องยอมรับว่าของบางอย่างก็จำเป็นที่จะต้องเอาติดตัวไปด้วยทุกครั้ง ถึงแม้มันจะต้องเพิ่มน้ำหนักในเป้ของเรามากขึ้นก็ตาม ไฟฉายก็เป็นหนึ่งในของใช้จำเป็นที่จะขาดไม่ได้ในการเดินทางเข้าป่าแต่ละ ครั้ง ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกและปลอดภัยของตัวเราเองในยามค่ำคืน หรือในยามที่ต้องเข้าถ้ำหรือสถานที่มืดๆ ที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ

ไฟฉายเป็นอีกอุปกรณ์หนึ่งที่ผู้ผลิตพยายามแข่งขันกันค้นคว้า วิจัยโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วย เพื่อพัฒนาคุณภาพของไฟฉายให้ดีขึ้นเรื่อยๆ พัฒนาการของไฟฉายในแต่ละรุ่นเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก ไฟฉายในปัจจุบันจึงมีหลายลักษณะ หลายรูปแบบ สำหรับการใช้งานต่างๆ กันไป ซึ่งเราพอจะแบ่งประเภทของไฟฉายที่ใช้สำหรับเดินป่าได้ 2 แบบใหญ่ ๆ คือ ไฟฉายแบบธรรมดาที่ใช้มือถือ (Hand-held lights) และไฟฉายที่ติดกับศีรษะ (Head-held lights หรือ Headlamps)

ไฟฉายมือถือ (Hand-held lights)

ไฟฉายแบบมือถือ
ไฟฉายมือถือที่คนไทยรู้จักกันดีและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบันคือ Mini Maglite ซึ่งผลิตโดยใช้อลูมิเนียมเป็นวัสดุภายนอก มีวิธีการเปิด-ปิดไฟฉายโดยการหมุนกระเปาะหลอดไฟด้านบน วัสดุที่ใช้ภายนอกทำให้ตัวไฟฉายมีความทนทานสูงมาก ไม่บุบสลายง่ายๆ ลักษณะเด่นของไฟฉายรุ่นนี้คือบริเวณหัวเกลียวจะมีห่วงยางโอริง (Rubber O-ring) ที่ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำเข้าไปด้านในตัวไฟฉาย และบริเวณเกลียวด้านบนนี้นอกจากจะเป็นสวิตช์เปิด-ปิดไฟฉายแล้ว ยังสามารถใช้ปรับลำแสงของไฟฉายให้โฟกัสไปยังจุดใดจุดหนึ่งหรือจะให้สว่างใน บริเวณกว้างได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังได้มีการผลิตอุปกรณ์เสริมสำหรับไฟฉายชนิดนี้ขึ้นมามากมาย เช่น สายรัดศีรษะ ซองหนัง สายรัดข้อมือ คลิปหนีบกับเข็มขัด หรือแม้กระทั่งกระบอกพลาสติกที่เอาไว้หุ้มตัวไฟฉายเวลาต้องการคาบไว้ในปาก!

ปัจจุบัน มีไฟฉายที่ใช้หลักการทำงานในลักษณะเดียวกับ Maglite นี้มากมาย (เปิด-ปิดโดยการหมุนเกลียวด้านบน) ซึ่งมีการทำงานอย่างง่ายๆ คือเมื่อเราหมุนเกลียวลงมา หลอดไฟก็จะสัมผัสกับแบตเตอรี่ด้านล่าง ทำให้เกิดความสว่าง แต่ข้อควรคำนึงอย่างหนึ่งก็คือ การเปิดไฟในลักษณะนี้จะต้องใช้สองมือในการเปิด (ไม่เหมือนกับไฟฉายแบบอื่นที่เราสามารถใช้มือเดียวกดหรือเลื่อนสวิตช์เพื่อ เปิด-ปิดได้) บางคนที่ชำนาญหน่อยก็อาจจะใช้มือเดียวหมุนเปิดได้ โดยใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับบริเวณกระเปาะหลอดไฟด้านบนและใช้นิ้วที่เหลือ จับด้ามไฟฉายเอาไว้ แล้วจึงหมุนเปิด แต่นั่นก็ต้องอาศัยการฝึกฝนเล็กน้อย บางคนอาจจะต้องการทำให้เปิดง่ายๆ โดยการหมุนปิดไฟฉายเอาไว้หลวมๆ เพื่อที่ว่าจะได้หมุนเปิดมือเดียวได้ง่ายๆ แต่ควรจะระวังว่าการทำแบบนี้อาจจะทำให้ไฟฉายเปิดเองได้เวลาเราเก็บไว้ใน กระเป๋า เพราะหากเกิดการกดทับจากสิ่งของอื่นๆ หลอดไฟก็จะสัมผัสกับแบตเตอรี่ได้ง่ายขึ้น ทำให้ไฟฉายติดเองได้เป็นการสิ้นเปลืองแบตเตอรี่โดยใช่เหตุ ดังนั้นเพื่อป้องกันกรณีดังกล่าว สามารถทดสอบได้ง่ายๆ โดยในเวลาที่เราหมุนไฟฉายปิดแล้ว เมื่อไฟดับแล้วก็ลองกดตรงบริเวณกระเปาะหลอดไฟลงไปเล็กน้อย เพื่อดูว่าไฟติดหรือไม่ ผู้ผลิตไฟฉายส่วนมากมักจะออกแบบไฟฉายมาให้สามารถหมุนได้อีกประมาณ 180 องศาหลังจากที่เราหมุนปิดสวิตช์ไฟฉายไปแล้ว

ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งของ Maglite ที่คนเริ่มหันมาคำนึงถึงมากขึ้นก็คือการที่ตัวด้ามไฟฉายทำจากอลูมิเนียมนั่น เอง สาเหตุเป็นเพราะตัวด้ามอลูมิเนียมนั้นจะเปลี่ยนอุณหภูมิตามสภาวะอากาศภายนอก ได้ง่ายกว่าพลาสติก โดยเฉพาะในบริเวณที่มีอากาศเย็นจัด ซึ่งความเย็นของตัวด้ามจะเป็นศัตรูตัวร้ายต่ออายุของแบตเตอรี่ภายใน ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วขึ้น ใครที่เคยใช้ไฟฉายแบบ Maglite นี้ไปเดินเที่ยวป่าก็คงจะพอนึกออกว่าในหน้าหนาวนั้นบางครั้งเราต้องเปลี่ยน แบตเตอรี่เร็วกว่าที่คาดเอาไว้ ทำให้ในระยะหลังนี้มีคนสนใจหันมาใช้ไฟฉายที่มีด้ามจับเป็นพลาสติกมากขึ้น

ไฟฉายติดศีรษะ (Head-held lights, Headlamps)

ไฟฉายติดศรีษะ
จาก ข้อเสียประการหนึ่งของไฟฉายมือถือ นั่นคือการที่ทำให้เราต้องทำงานได้เพียงมือเดียวเพราะอีกมือหนึ่งต้องถือ ไฟฉายอยู่นั้น ทำให้มีการพัฒนาไฟฉายขึ้นมาเป็นอีกประเภทหนึ่ง คือไฟฉายติดศีรษะ ถึงแม้บางครั้งไฟฉายติดศีรษะอาจจะมีน้ำหนักมากกว่าไฟฉายมือถือ แต่ผู้คนก็นิยมใช้ไฟฉายติดศีรษะกันมากขึ้นเนื่องจากความสะดวกในการใช้งาน เพราะช่วยให้เราสามารถใช้มือทั้งสองข้างในการทำกับข้าว ตั้งเต็นท์ หรือกิจกรรมอื่นๆ ได้โดยสะดวก

ไฟฉายติดศีรษะนี้มีสองประเภทใหญ่ๆ คือแบบที่มีที่ใส่แบตเตอรี่อยู่ติดกับตัวไฟฉายเลย และแบบที่แยกแบตเตอรี่ออกต่างหากจากตัวไฟฉาย แบบแรกที่สามารถใส่แบตเตอรี่ติดกับตัวไฟฉายได้เลยนั้นจะมีน้ำหนักมากกว่า ซึ่งในบางครั้งอาจจะทำให้ปวดศีรษะได้เหมือนกันหากใช้ไปนานๆ กับอีกประเภทหนึ่งคือไฟฉายติดศีรษะแบบที่แยกตัวแบตเตอรี่ออกจากตัวไฟฉายและ จะมีเฉพาะส่วนที่เป็นหลอดไฟและเลนส์เท่านั้นที่ติดกับสายรัดศีรษะ แบบนี้จะทำให้ไฟฉายที่ติดบนศีรษะมีน้ำหนักเบา ส่วนตัวแบตเตอรี่ก็อาจจะหนีบไว้ที่เสื้อผ้าหรือใส่กระเป๋าเอาไว้ก็ได้ แต่แบบนี้ก็จะมีข้อเสียที่จะต้องมีสายเชื่อมต่อระหว่างตัวไฟฉายกับแบตเตอรี่ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความรำคาญหรือไม่ค่อยถนัดนัก และยังจะต้องคอยเก็บแบตเตอรี่เอาไว้ให้อุ่นอยู่ตลอดเวลาด้วย

ไฟฉายติดศีรษะที่เป็นที่รู้จักกันมากในปัจจุบันคือ Petzl Micro ซึ่งมีหลักการทำงานง่ายๆ โดยการหมุนเปิด-ปิดไฟที่บริเวณกระเปาะหลอดไฟ และหัวไฟฉายยังสามารถหมุนไปได้รอบๆ นอกจากสายรัดศีรษะแล้ว ยังมีสายคาดบริเวณกลางศีรษะด้านบนพาดเป็นแนวยาวไปด้านหลังศีรษะเพื่อช่วย พยุงให้ไฟฉายสามารถรัดอยู่บนศีรษะได้โดยไม่เลื่อนไหลลงมาง่ายๆ นอกจากนี้ บริเวณที่ใส่แบตเตอรี่ยังทำจากยางซึ่งทำให้แบตเตอรี่ไม่หมดเร็วเกินไปและยัง มีที่สำหรับใส่หลอดไฟสำรองอีกด้วย

thank http://www.mrbackpacker.com/gear/gear_36.html
|

การดูแลรักษาเต็นท์

การดูแลรักษาเต็นท์ให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องยาก ลองอ่านวิธีการเหล่านี้ดูแล้วคุณจะรู้ว่า เต็นท์ดูแลง่ายนิดเดียว
  1. ฝึกกางเต็นท์ให้ถูกวิธี การที่คุณเรียนรู้วิธีการกางเต็นท์อย่างถูกวิธี จะทำให้เต็นท์ของคุณไม่เกิดความเสียหาย เพราะบางครั้งการกางเต็นท์ไม่ถูกวิธี อาจทำให้อุปกรณ์บางชิ้นเกิดความเสียหายได้ เช่น อาจจะใส่เสาเต็นท์ผิดอันทำให้เกิดความเสียหายเวลางอเสาเข้ากับเต็นท์ เป็นต้น
  2. อย่าเก็บเต็นท์ของคุณขณะที่เปียกถ้าไม่จำเป็น เพราะอาจจะทำให้เกิดกลิ่นอับได้ เราควรจะนำเต็นท์มาผึ่งลมให้แห้งก่อนและนำเศษสิ่งสกปรกออกจากเต็นท์ แล้วจึงปิดซิปให้เรียบร้อย
  3. ไม่ควรใช้สารเคมีในการทำความสะอาดเต็นท์ เพราะสารเคมีเหล่านี้จะทำลายสารที่เคลือบเต็นท์ไว้ ควรใช้แค่ผ้าชุบน้ำเช็ดก็พอ ห้ามใช้แปรงขัดเพราะแปรงจะทำให้สารเคลือบหลุดออกเช่นกัน
  4. ใช้ผ้าพลาสติกปูรองพื้น ผ้ารองพื้นจะใช้ปูรองพื้นก่อนกางเต็นท์ ประโยชน์คือช่วยปกป้องตัวเต็นท์จากหินและกิ่งไม้อันแหลมคม ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะทำให้พื้นเต็นท์เกิดความเสียหายได้ และนอกจากนี้ยังช่วยลดเวลาในการทำความสะอาด เพราะเราเพียงแต่ทำความสะอาดที่ผ้าปูเท่านั้น
  5. ใช้สมอบกปักเต็นท์ บางคนอาจคิดว่าสมอบกไม่จำเป็นเพราะเต็นท์สามารถทรงตัวได้อยู่แล้ว แต่บางครั้งเมื่อลมแรง เต็นท์อาจจะมีการพลิกซึ่งอาจจะทำให้เต็นท์เสียหาย ถ้าช่วงที่คุณกางเต็นท์มีลมแรงควรจะนำสัมภาระเข้าไปไว้ในเต็นท์ แล้วปักสมอบกยึดไว้ ซึ่งจะช่วยป้องกันเต็นท์พลิกจากแรงลมได้
  6. ใช้อุปกรณ์ซ่อมแซมเต็นท์ถ้าจำเป็น หากเต็นท์คุณเกิดการเสียหาย เช่น ผนังเต็นท์มีรอยฉีกขาด ควรใช้พวกผ้าเทปปิดรอยขาดนั้นไว้ มิฉะนั้นรอยขาดนั้นจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ (ลองคิดถึงเสื้อผ้าที่ขาดดู ถ้าเรายิ่งดึงก็จะยิ่งขาดมากขึ้น) อุปกรณ์ซ่อมแซมเต็นท์สามารถหาซื้อได้ตามร้านอุปกรณ์แค้มปิ้งทั่วไป
thank http://www.mrbackpacker.com/gear/gear_6.html
|

ตัวอย่างวิธีการกางเต็นท์อย่างถูกวิธี

ตัวอย่างวิธีการกางเต็นท์แบบง่ายๆ ที่จะทำให้คุณรู้สึกว่าการกางเต็นท์ไม่ใช่เรื่องยาก ตัวอย่างที่มาแสดงจะเป็นการกางเต็นท์โดม ถ้าเป็นแบบอื่นๆ ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้

1. นำเต็นท์และอุปกรณ์ต่างๆ ออกมาจากถุง ตรวจสอบว่าอุปกรณ์ครบถ้วน

2. เริ่มด้วยการติดตั้งโครงเต็นท์ โดยเอาบริเวณปลายของโครงเสียบกับตรงมุมเต็นท์ ซึ่งจะมีช่องสำหรับเสียบโครงเต็นท์อยู่ หลังจากนั้นให้นำขอเกี่ยวบริเวณตัวเต็นท์ นำมาเกี่ยวกับตัวโครง ถึงขั้นตอนนี้เต็นท์ของคุณจะขึ้นเป็นรูปได้แล้ว สำหรับบางรุ่นอาจจะต้องมีการเอาตัวโครงมาสอดกับตัวเต็นท์ให้ทะลุไปอีกด้าน หนึ่งแล้วงอโครงโดยให้ปลายทั้งสองข้างเสียบเข้าไปในช่องที่มุมเต็นท์

3.หลังจากตั้งโครงแล้วก็จะได้เต็นท์ ที่พร้อมจะกางฟลายชีทได้

4.ติดตั้งเสาสำหรับฟลายชีท โดยนำเสามาพาดกลางเต็นท์และผูกตัวเสาฟลายชีทกับบริเวณกลางเต็นท์ที่เสาโครงเต็นท์สองด้านตัดกัน

5. ติดตั้งฟลายชีทโดยนำขอเกี่ยวของฟลายชีทเกี่ยวกับบริเวณมุมเต็นท์ทั้ง 2 ด้าน แล้วนำฟลายชีทมาพาดเสากลาง

6. ติดตั้งฟลายชีทอีกด้าน เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็จะได้เต็นท์ที่เสร็จสมบูรณ์

thank http://www.mrbackpacker.com/gear/gear_7.html
|

ข้อควรพิจารณาในการเลือกซื้อเต็นท์

ก่อนที่เราจะซื้อเต็นท์สักหลัง เราควรพิจารณาข้อมูลต่างๆ หลายๆ ด้าน แรกสุด เราควรจะสามารถตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้เสียก่อนที่จะพิจารณาเลือกซื้อเต็นท์ สักหลัง
  • จะซื้อเต็นท์แบบไหนดีนะ
    เราเที่ยวบ่อยแค่ไหน?
    ถ้าในปีหนึ่งๆ เราเที่ยวแค่ไม่กี่ครั้ง ก็อาจจะยืมเต็นท์เพื่อนๆ เอาจะคุ้มกว่า เพราะถ้าเสียเงินซื้อไปแล้วไม่ค่อยได้ใช้ อุปกรณ์บางอย่างจะเสื่อมตามกาลเวลา เช่น สารเคลือบเต็นท์บริเวณผนังเต็นท์อาจจะหลุดลอกเมื่อเวลาผ่านไป เป็นต้น
  • งบประมาณมีเท่าไร? งบประมาณจะส่งผลต่อเต็นท์ที่เราจะเลือกซื้อ ถ้างบประมาณเราน้อยก็อาจจะได้เต็นท์ที่มีคุณสมบัติไม่มากเท่าไร ถ้าคุณต้องการเต็นท์ที่ดี แน่นอนก็ต้องจ่ายแพงกว่า ทั้งนี้ขึ้นกับงบประมาณของคุณเป็นหลัก เพราะใครๆ ก็อยากได้เต็นท์ที่ดีอยู่แล้ว
  • เต็นท์ที่เราซื้อจะไปใช้กับการเดินทางท่องเที่ยวแบบไหน? เช่น การขับรถเที่ยว (คาร์แค้มป์) หรือการเดินป่า เป็นต้น ถ้าหากคุณชอบขับรถเที่ยว น้ำหนักของเต็นท์อาจจะไม่สำคัญเท่าไรในการพิจารณาเลือกซื้อ แต่หากคุณต้องเดินป่าระยะไกลก็อาจจะต้องพิจารณาถึงเรื่องน้ำหนักและ คุณสมบัติเฉพาะบางอย่างเป็นพิเศษ ทั้งนี้ขึ้นกับสไตล์การท่องเที่ยวของคุณ
  • ภูมิอากาศของสถานที่ที่เราไปแค้มปิ้ง หากคุณชอบไปป่าหน้าฝน พวกอุปกรณ์กันฝนก็เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อ เพราะเต็นท์บางรุ่นจะมีอุปกรณ์กันฝนมาให้ (เช่น ฟลายชีท) บางรุ่นก็ไม่มี
  • ขนาดของเต็นท์ที่คุณต้องการ คุณต้องการเต็นท์ที่นอนได้กี่คน ไม่ใช่ว่าเต็นท์ขนาดใหญ่จะดีกว่าเต็นท์ขนาดเล็ก เพราะขนาดจะแปรผันตรงกับน้ำหนัก หากไปป่าที่ต้องเดินก็ควรพิจารณาซื้อเต็นท์เล็กนอนได้ 1-2 คน ถ้าเที่ยวกับรถก็ซื้อใหญ่กว่าก็ได้ไม่มีปัญหา

หลังจากที่คุณสามารถตอบคำถามในใจคุณได้แล้ว ลองดูในใบตัวอย่างสินค้าของแต่ละยี่ห้อ คุณก็จะสามารถเลือกเต็นท์ได้แล้วว่ามีรุ่นไหนที่ตรงกับที่คุณต้องการบ้าง คราวนี้ก็ถึงเวลาที่เราต้องไปซื้อเต็นท์กันแล้ว เราจะมีวิธีเลือกและตรวจสอบตัวเต็นท์ที่จะซื้ออย่างไรบ้าง

  1. เมื่อเราได้คำตอบแล้วว่าเราต้องการเต็นท์แบบไหน ก็ลองหารายละเอียดตัวอย่างสินค้าของแต่ละยี่ห้อมาดูก่อน ศึกษาก่อนว่าแต่ละยี่ห้อมีรุ่นไหนที่ตรงกับความต้องการของคุณบ้าง ซึ่งคุณควรพิจารณายี่ห้อของเต็นท์ที่คุณจะซื้อด้วยว่ามีบริการเป็นอย่างไร ถ้าสินค้ามีปัญหาจะนำมาเปลี่ยนหรือซ่อมได้หรือไม่
  2. พาเพื่อนๆ ที่ชอบเที่ยวกับคุณมาช่วยเลือกเต็นท์กับคุณด้วย เพราะเขาเหล่านั้นอาจจะได้มานอนในเต็นท์ที่คุณซื้อ ให้เขาช่วยตัดสินใจกับคุณ ยังไงซะหลายตาดีกว่าตาเดียว บางครั้ง เพื่อนบางคนอาจจะเคยมีประสบการณ์ในการใช้เต็นท์บางประเภท ซึ่งจะสามารถให้ความคิดเห็นเพิ่มเติมได้อีกด้วย
  3. ลองกางเต็นท์ดู แกะออกจากถุงแล้วลองกางดูว่ากางยากหรือเปล่า เต็นท์บางรุ่นกว่าจะกางได้เสร็จเล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน ถ้าสงสัยอะไรก็ให้ถามพนักงาน แล้วลองดูสเป็คข้างถุงเต็นท์ว่าตรงกับตัวเต็นท์หรือเปล่า
  4. มุดเข้าไปในตัวเต็นท์ลองนั่งดูว่าพื้นที่ใช้สอยมากพอตามความต้อง การหรือไม่ หน้าต่างระบายอากาศมีมากพอหรือไม่ แล้วลองนั่งจินตนการดูว่าพวกกระเป๋า รองเท้า อุปกรณ์ต่างๆ ของเราจะวางไว้ตรงไหนของเต็นท์ แล้วจะมีที่เหลือพอสำหรับนอนหรือเปล่า
  5. ตรวจสอบตะเข็บเต็นท์ตามมุมต่างๆ ว่าเย็บดีหรือไม่ ลองรูดซิปตามประตูหน้าต่างดูว่ามีปัญหาหรือไม่
  6. ตรวจสอบการเคลือบผิวของสารกันน้ำตามตัวเต็นท์ หรือฟลายชีทที่มากับเต็นท์ ตามปรกติพวกฟลายชีทและผนังเต็นท์มักจะเคลือบสารเพื่อกันน้ำซึมไหลเข้าเต็นท์ เอาไว้
  7. หลังจากตรวจสอบทุกอย่างเรียบร้อย ก็ลองเก็บเต็นท์ดูว่าเก็บยากหรือไม่
  8. ถ้าคุณตัดสินใจแล้วว่าเต็นท์นี้แหละที่ใช่แบบที่คุณต้องการ คราวนี้ก็ต้องมาเลือกสีกันแล้ว เต็นท์แต่ละรุ่นจะมีสีให้เลือกไม่มากนัก ไม่เหมือนเสื้อผ้าที่มีสีหลากหลาย ข้อควรพิจารณาคือ สีอ่อนจะช่วยให้แสงส่องผ่านเต็นท์ได้ดีกว่าสีเข้ม ส่วนสีเข้มจะดูดความร้อนได้ดีกว่าสีอ่อน หากใช้ในที่อากาศหนาวก็จะทำให้อุ่นขึ้น ทั้งนี้ขึ้นกับผู้ซื้อด้วยว่าชอบสีสไตล์ไหน
thank http://www.mrbackpacker.com/gear/gear_5.html
|

ส่วนประกอบของเต็นท์

ส่วนประกอบของเต็นท์

  1. พื้นเต็นท์
    เป็นส่วนที่สัมผัสกับพื้นดิน สามารถกันน้ำและมีความทนทานสูง
  2. ตัวเต็นท์
    เป็นส่วนที่อยู่เหนือพื้นเต็นท์ขึ้นมา ทำหน้าที่กันลม ฝน
  3. เสาหรือโครงเต็นท์
    เป็นส่วนที่ช่วยทำให้เต็นท์ทรงตัวอยู่ได้ เสาเต็นท์ที่นิยมใช้กัน จะมีเป็นแบบอลูมิเนียม และไฟเบอร์กลาส ซึ่งถ้าเป็นเต็นท์สามเหลี่ยม เสาที่ใช้มักจะเป็นอลูมิเนียม ส่วนเต็นท์โดม เต็นท์อุโมงค์จะใช้เป็นไฟเบอร์กลาส ซึ่งมีน้ำหนักเบา มีความยืดหยุ่นสูง สามารถโค้งงอได้
  4. ฟลายชีท
    จะเป็นผ้าที่ใช้กันลมและฝน คุณสมบัติทั่วไปของฟลายชีทคือ สามารถกันน้ำได้เนื่องจากมีการเคลือบสารกันน้ำเอาไว้ ทำให้เวลาฝนตกน้ำจะไม่ไหลเข้าสู่ตัวเต็นท์

    gear_4_3.jpg

  5. สมอบกและเชือก
    ใช้สำหรับยึดเต็นท์กับพื้นดิน เพื่อไม่ให้ปลิวไปกับลม สมอบกจะมีทั้งแบบอลูมิเนียม พลาสติก ซึ่งแต่ละแบบจะมีความแข็งแรงและน้ำหนักไม่เท่ากัน
  6. ประตูและหน้าต่าง
    ใช้สำหรับเป็นทางเข้าออกและเป็นช่องทางระบายอากาศ เต็นท์โดยส่วนใหญ่จะมีประตูด้านเดียว แต่ในบางรุ่นก็มีประตูเข้าออกได้ทั้งสองด้าน ส่วนหน้าต่างจะขึ้นอยู่กับชนิดและรุ่นของเต็นท์ เต็นท์บางชนิดที่ใช้กับอากาศหนาวมากๆ อาจจะไม่มีหน้าต่างเลยก็ได้
  7. ช่องเก็บของ
    เต็นท์บางรุ่นจะมีช่องเก็บของด้านใน ซึ่งจะอยู่บริเวณติดกับผนังเต็นท์ด้านข้าง หรือด้านบนตัวเต็นท์ตรงกึ่งกลาง ซึ่งจะพอเก็บของจุกจิกได้เล็กน้อย เช่น แว่นตา ไฟฉาย ฯลฯ

    gear_4_1.jpg gear_4_2.jpg
thank http://www.mrbackpacker.com/gear/gear_4.html
|

มารู้จักชนิดและประเภทของเต๊นท์

เต็นท์แบบสามเหลี่ยม (Pup Tent)

คือเต็นที่ใช้เสาเต็นท์และสมอบกในการกาง โดยจะมีเสาเต็นท์ 2 ข้างบริเวณประตูเป็นตัวยึดโครงเต็นท์ เต็นท์ลักษณะนี้จำเป็นต้องใช้สมอบกและเชื่อกขึงตามมุมเพื่อทำการยึด เต็นท์ เมื่อกางเสร็จแล้วจะมีลักษณะคล้ายสามเหลี่ยมทรงปริซึ่ม (รูปเต็นท์สามเหลี่ยม) ข้อเสียของเต็นท์ชนิดนี้คือกางยากและพื้นที่ใช้สอยไม่มาก เพราะจะเสียพื้นที่บริเวณมุมเต็นท์เพราะผนังจะมีลักษณะลาดเอียง และมักจะมีน้ำเกาะบริเวณผนังเต็นท์ แต่ในบางรุ่นในปัจจุบันก็มีการออกแบบให้มีฟลายชีสอีกชั้นหนึ่งเพื่อกันฝน

เต๊นท์แบบธรรมดา

เต็นท์โครง (A Frame)

เต็นท์โครงจะมีลักษณะคล้ายกับเต็นท์แบบสามเหลี่ยม แต่จะมีลักษณะของโครงสร้างต่างไป โดยแทนที่จะที่จะมีเสาทั้งสองด้านของตัวเต็นท์เพื่อยึดตัวเต็นท์ จะใช้โครงเหล็กลักษณะคล้ายกับตัว A ยึดกับแกนที่มีลักษณะเป็นแนวยาวขนานกับตัวเต็นท์ด้านบน พื้นที่ใช้สอยจะมีมากกว่าแบบสามเหลี่ยม เต็นท์ลักษณะนี้จะต้องปักสมอบกเพื่อยึดตัวเต๊นท์ให้เกิดความแข็งแรง (คล้ายกับเต๊นท์แบบสามเหลี่ยม) ในบ้านเราก็มีจำหน่ายเต็นท์ลักษณะนี้แต่ยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก

เต๊นท์แบบ A Frame
ลักษณะของโครง A Frame

เต็นท์โดม (Dome)

เต๊นท์โดม
เต็นท์ โดม คือเต็นท์ที่ใช้โครงเสาไฟเบอร์ในการกาง แต่จะใช้สมอบกเพื่อยึดเต็นท์ให้อยู่กับที่เท่านั้น (รูปเต็นท์โดม) (ตารางเปรียบเทียบเต็นท์) จากตารางเปรียบเทียบจะเห็นได้ว่าเต็นท์โดมมีคุณสมบัติที่โดดเด่นและเหนือ กว่าเต็นท์สามเหลี่ยมมากโดยเฉพาะคุณสมบัติที่เคลื่อนย้ายง่ายและกางได้ทุก พื้นที่ เพราะในบางครั้งเรามีความจำเป็นที่จะต้องกางเต็นท์บนพื้นดินที่แข็งมาก ,บนลานหิน ,บนลานปูน หรือบนพื้นที่ที่ไม่อาจจะตอกสมอบกได้ และในบางครั้งเราก็ต้องมีการย้ายพื้นที่กางเต็นท์ในขณะที่กางเต็นท์ไปแล้ว เช่นกางอยู่บนรังมด หรือมีเศษไม้ เศษหินอยู่ใต้เต็นท์ เราก็สามารถที่จะยกเต็นท์โดมออกแล้งย้ายกรือหยิบเศษไม้เศษหินเหล่านั้นออกไป ได้โดยไม่ต้องเสียเวลากางเต็นท์ใหม่เหมือนเต็นท์ สามเหลี่ยม และด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดนี้จึงขอแนะนำให้ใช้เต็นท์โดมมากกว่า เต็นท์สามเหลี่ยม

เต็นท์แบบกระโจม (Teepee)

เต๊นท์ทรงอินเดียแดง
เต็นท์ กระโจมจะมีลักษณะคล้ายกับกระโจมของอินเดียแดง โดยจะมีเสาเพียงต้นเดียว ลักษณะของเต็นท์ชนิดนี้จะเหมือนกับมีฟลายชีสมาคลุมพื้นไว้เป็นรูปกระโจมเท่า นั้น โดยจะมีเสาอยู่ตรงกลาง ทางเข้าของเต็นท์ชนิดนี้จะเอียงตากความชันของกระโจม พื้นด้านล่างเมื่อกางเสร็จจะไม่เป็นสี่เหลี่ยมเพราะจะเสียพื้นที่ตรงความชัน ของกระโจม เราจะไม่ค่อยพบเต็นท์แบบนี้มากนักในบ้านเรา (ตั้งแต่เที่ยวมายังไม่เคยเห็นใครใช้แบบนี้เลย) ข้อดีของเต็นกระโจมจะมีน้ำหนักเบาและติดตั้งง่ายเพราะมีเสาเพียงแค่ต้นเดียว (แต่บางแบบก็มีการพัฒนาให้มีเสาสองต้น เพื่อเพิ่มพื้นที่ด้านใน) ข้อเสียของเต็นท์ชนิดนี้ไม่สามารถใช้กับอากาศทุกประเภทเช่น อากาศที่ฝนตก เพราะน้ำอาจเข้าได้

เต็นท์แบบอุโมงค์ (Tunnel or Hoop)

เต็นท์ทรงอุโมงค์
เต็นท์ แบบอุโมงค์จะใช้เสาประมาณ 2-3 เสา โดยเสาจะสามารถงอให้เป็นรูปโค้งคล้ายกับห่วงครึ่งวงกลม ทำให้มีลักษณะคล้ายกับอุโมงค์ถ้านำมาเรียงต่อกัน โดยเสาที่โค้งเป็นครึ่งวงกลมนี้จะทำหน้าที่ยึดตัวเต็นท์ไว้ พื้นที่ใช้สอยของเต็นท์ลักษณะนี้จะค่อนข้างมาก เพราะเป็นทรงสูงจะไม่เสียพื้นที่กับการลาดเอียงของผนังเต็นท์ ขนาดของเต็นท์ชนิดนี้จะไม่ใหญ่มาก (ส่วนใหญ่จะนอนไม่เกิน 4 คน) เพราะถ้ามีขนาดใหญ่จะทำให้รูปทรงไม่สามารถต้านลมได้ ข้อดีของเต็นท์ชนิดนี้คือกางง่าย น้ำหนักเบา พื้นที่ใช้สอยมาก ส่วนข้อเสียคือกันลมได้ไม่ดี เพราะมีความลาดชันของผนังเต็นท์น้อยทำให้ต้านลม เต็นท์ชนิดนี้บางครั้งก็มีอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ เต็นท์ เช่น ฟลายชีสกันฝน ฯลฯ ทั้งนี้ขึ้นกับผู้ผลิตเต็นท์ว่าจะทำอุปกรณ์เสริมชนิดใดออกมา

เต็นท์แบบกึ่งถุงนอน (Bivy Sacks)

Bivy Sacks
เต็นท์ ลักษณะนี้จะมีลักษณะคล้ายกับถุงนอนแต่จะมีส่วนที่ใช้ครอบศีรษะ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเต็นท์เล็ก ๆ บนศีรษะ เต็นท์ลักษณะนี้จะมีพื้นที่ใช้สอยน้อย แค่นอนไปก็ที่เต็มแล้ว และไม่เหมาะกับสภาพภูมิอากาศที่ฝนตก เพราะกันฝนได้ไม่ดี เหมาะสำหรับอากาศแบบทั่ว ๆ ไป หากเกรงว่าฝนจะตกก็อาจจะใช้ฟลายชีสกันฝนอีกชั้นหนึ่ง เราจะม่ค่อยเต็นท์ลักษณะนี้กันมากนัก ข้อดีของเต็นท์ชนิดนี้คือน้ำหนักเบา เหมาะที่สุดสำหรับการนอนดูดาว

เต็นท์สปริง (Spring)

เป็นเต็นท์ที่ใช้ขดลวดสปริงเป็นโครงอยู่ภายในดังนั้นมันจึง เป็นเต็นท์ที่กางง่ายที่สุดในบรรดาเต็นท์ทั้ง 3 ชนิด คือแค่โยนขึ้นไปในอากาศโครงสปริงก็จะดันตัวเต็นท์ให้ดีดดึ๋งกางเสร็จสรรพใน พริบตาแต่ไม่แนะนำให้ซื้อเต็นท์ประเภทนี่มาใช้เพราะมีโครงสร้างที่ไม่แข็ง แรงแค่ลมพัดมาก็จะปลิวแล้ว และเต็นท์ที่ผลิตก็จะมีขนาดเพียง 2-3 คนนอนเท่านั้น แถมเวลาเก็บยังมีขนาดใหญ่และเกะกะกว่าเต็นท์แบบอื่นๆอีกด้วย

thank http://www.mrbackpacker.com/gear/gear_3.html
|

วิธีการทำความสะอาดถุงนอนขนเป็ด

คำร่ำลือเกี่ยวกับถุงนอนขนเป็ดที่เรามักจะได้ยินกันโดยมากแล้ว ก็คือว่าห้ามให้ถุงนอนขนเป็ดโดนน้ำโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นคุณภาพของขนเป็ดจะเสื่อมลงและไม่สามารถกันหนาวได้เต็มคุณสมบัติ เหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้ไปนานๆ เข้า ความจำเป็นที่จะต้องทำความสะอาดถุงนอนขนเป็ดก็ย่อมจะเกิดขึ้นอย่างหลีก เลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นถุงนอนขนเป็ดมือหนึ่งใบเก่งของเราเองที่อาจจะใช้นานมากจนเริ่ม สกปรกทนไม่ไหวแล้ว หรืออาจจะเมื่อเราซื้อถุงนอนขนเป็ดมือสองมาและได้กลิ่นอับที่ไม่พึงปรารถนา ติดมาด้วย

ดังนั้น สิ่งที่เราควรจะทำความเข้าใจกันก่อนก็คือ เรา สามารถทำความสะอาดถุงนอนขนเป็ดได้ แต่ เฉพาะในกรณีที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น โดยจะต้องใช้น้ำยาทำความสะอาดที่ผลิตมาสำหรับทำความสะอาดขนเป็ดโดยเฉพาะ และจะต้องทำตามขั้นตอนต่างๆ ดังต่อไปนี้

  1. แกะซิปออกและแผ่ถุงนอนออกเป็นผืน นำไปแช่น้ำอุ่นในอ่างอาบน้ำ หรือในอ่างน้ำใหญ่ๆ ที่เราสามารถจะแผ่ถุงนอนออกได้ โดยแช่ทิ้งไว้หนึ่งคืน
  2. ซักด้วยมือโดยใช้น้ำยาที่ไม่ใช่ผงซักฟอก (Non-detergent Soap) หรือใช้น้ำยาที่มีผู้ผลิตออกมาเฉพาะสำหรับการซักขนเป็ด (เช่นของยี่ห้อ Nikwax) ควรจะขยี้ฟองแล้วค่อยๆ ใช้มือนวดไปให้ทั่วๆ ถุงนอน (ห้ามใช้น้ำยาซักแห้งมาซักขนเป็ด เพราะสารเคมีในน้ำยาซักแห้งจะเป็นตัวทำลายขนเป็ด ทำให้คุณภาพเสื่อมลง)
  3. ถ้าถุงนอนสกปรกมากๆ จริงๆ ก็ให้แช่ทิ้งไว้ในน้ำผสมน้ำยานั้นประมาณ 2-3 ชั่วโมง
  4. ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ล้างไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดฟอง
  5. จากนั้นจึงบีบน้ำออกจากตัวถุงนอน แต่จะต้องค่อยๆ บีบไล่ไปจนทั่วถุงนอน โดยยังวางถุงนอนแผ่ไว้ในอ่างอยู่ (ห้ามน้ำถุงนอนขึ้นมาบิดเหมือนบิดผ้าโดยเด็ดขาด)
  6. ค่อยๆ ยกถุงนอนที่แห้งหมาดๆ แล้วขึ้นมาจากอ่าง โดยใช้แขนทั้งสองข้างช้อนประคองถุงนอนไว้จากด้านล่าง ขนเป็ดจะหนักมากเมื่อเปียกและอาจจะทำให้เกิดความเสียหายได้หากเรายกไม่ระวัง เพราะฉะนั้นควรจะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการเคลื่อนย้ายถุงนอนขน เป็ดที่เปียก
  7. วางถุงนอนแผ่ลงบนพื้นที่ที่แห้งและสะอาด โดยจะต้องไม่มีแสงแดดส่องโดยตรงด้วย
  8. ค่อยๆ ตบถุงนอนไล่ไปเรื่อยๆ จากทั้งสองด้านของถุง เพื่อป้องกันไม่ให้ขนเป็ดข้างในจับตัวเป็นก้อน
  9. วางถุงนอนทิ้งผึ่งลมไว้อย่างนั้นจนกว่าจะแห้ง ถุงนอนขนเป็ดอาจจะต้องใช้เวลาหลายวันกว่าที่จะแห้งสนิทจริงๆ ดังนั้น จึงควรจะเลือกทำความสะอาดถุงนอนขนเป็ดในช่วงวันที่อากาศร้อนและมีความชื้น ค่อนข้างน้อย
  10. หากคุณต้องการเร่งให้ถุงนอนแห้งเร็วขึ้น ก็อาจจะเลือกใช้เครื่องอบผ้าช่วยได้ โดยควรจะเป็นเครื่องอบผ้าแบบที่ใส่ผ้าด้านหน้า และเลือกความร้อนและความเร็วแบบต่ำสุดทั้งคู่ นอกจากนี้ คุณควรจะใส่ลูกเทนนิสซักลูกเข้าไปพร้อมกันด้วย เพราะลูกเทนนิสจะกลิ้งไปมาตามการหมุนของเครื่อง และจะเป็นการช่วยนวดถุงนอนไปในตัวด้วยเช่นกัน ทำให้ขนเป็ดที่บุอยู่ข้างในไม่จับตัวกันเป็นก้อน แต่อย่างไรก็ตาม ต้องจำเอาไว้อย่างหนึ่งว่า ยังไงก็ต้องใช้เวลานานสำหรับการทำความสะอาดและทำให้ถุงนอนขนเป็ดแห้ง

การซักแห้ง

อย่างที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น ว่าน้ำยาซักแห้งนั้นเป็นศัตรูตัวร้ายต่อคุณภาพของขนเป็ดเลยทีเดียว เพราะสารเคมีในน้ำยาซักแห้งจะไปทำลายคุณสมบัติของขนเป็ด ทำให้ไม่ฟู นุ่ม และไม่สามารถเก็บความร้อนเอาไว้ข้างในได้เหมือนเดิม นอกจากนี้ น้ำยาซักแห้งยังเป็นอันตรายต่อสภาพแวดล้อมอีกด้วยเช่นกัน ดังนั้น หากเป็นไปได้ เราควรจะหลีกเลี่ยงการนำถุงนอนขนเป็ดไปซักแห้งอย่างเด็ดขาด แต่หากจำเป็นจะต้องไปให้ที่ร้านซักแห้งจริงๆ ก็ควรจะดูว่าร้านใช้น้ำยาอะไรซัก ควรจะต้องใช้น้ำยาเฉพาะเท่านั้น

thank http://www.mrbackpacker.com/gear/gear_41.html
|

การดูแลรักษาถุงนอน

ถุงนอนก็เหมือนกับอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ต้องการการทำความสะอาด และการดูแลรักษา เพื่อให้มีสภาพดีอยู่เสมอ ซึ่งการดูแลรักษาถุงนอนไม่ใช่เรื่องยาก ลองมาดูกันว่าเราจะมีวิธีบำรุงดูแลรักษาถุงนอนกันอย่างไรบ้าง
  1. การดูแลรักษาระหว่างการใช้งาน
    • หากคุณต้องนอนกับพื้น ควรจะมีผ้าปูใต้ถุงนอน เพื่อไม่ให้ผิวถุงนอนเกิดการเสียดสีกับพื้นด้านล่าง และป้องกันสิ่งสกปรกจากพื้นดิน
    • เมื่อใช้งานแล้ว ควรจะมีการกลับถุงนอน เพื่อให้เหงื่อที่สะสมตอนกลางคืนขณะที่นอน เกิดการระเหยออกไป
    • ควรจะเก็บถุงนอนในถุงที่กันน้ำ อาจจะใช้ถุงดำหรือถุงพลาสติกก็ได้ หากถุงนอนเปียกน้ำระหว่างเดินทาง จะทำให้มีน้ำหนักมากและจะมีปัญหาในการเดินทาง หรือในถุงนอนบางประเภท เช่น ถุงนอนขนเป็ด ก็ไม่ควรที่จะเปียกน้ำ เพราะจะทำให้ขนเป็ดที่บุด้านในเกิดความเสียหายได้

  2. การเก็บถุงนอน
    • หลังจากที่ใช้ถุงนอนแล้ว ควรจะตากให้แห้งก่อนที่ทำการเก็บใส่ถุง
    • ไม่ควรเก็บถุงนอนในถุงที่มีขนาดเล็กเกินไป เพราะการยัดถุงนอนเข้าไปในถุงที่มีขนาดเล็ก จำเป็นต้องบีบขนาดของถุงนอนลง ซึ่งหากเก็บเป็นเวลานานอาจจะทำให้ถุงนอนมีอายุการใช้งานสั้นลง
    • หากไม่ได้ใช้ถุงนอนเป็นเวลานาน ควรจะนำถุงนอนออกจากถุงเพื่อให้ถุงนอนมีการคลายตัวบ้าง
    • ควรเก็บถุงนอนในที่ที่มีอากาศเย็น และมีอากาศถ่ายเทได้ดี ไม่ควรจะตากถุงนอนกลางแดดโดยตรง เนื่องจากรังสี UV จากแสงแดด สามารถทำให้เนื้อผ้าของถุงนอนเสื่อมคุณภาพได้

  3. การซักถุงนอน
    • ถุงนอนไม่จำเป็นจะต้องซักทุกครั้งที่ใช้งาน ควรจะซักเมื่อจำเป็นเท่านั้น
    • การซักถุงนอนด้วยมือจะดีที่สุด หรืออาจจะจ้างพวกบริษัทซักแห้งซักก็ได้ซึ่งตามร้านใหญ่ๆ จะเป็นเครื่องซักแบบใส่ผ้าด้านหน้า (Front Loading) หากเราใช้เครื่องซักผ้าที่เป็นลักษณะการปั่น หมุนไปมา อาจจะทำให้ผ้าใยในถุงนอนเกิดการบิดตัวและเกิดความเสียหายได้
    • ถุงนอนขนเป็ดควรจะหลีกเลี่ยงการซัก เพราะถ้าขนเป็ดโดนน้ำจะสูญเสียการกักความร้อน หากต้องการซักจริง ๆ จะมีผู้ให้บริการซักถุงนอนประเภทนี้อยู่ ซึ่งเขาจะใช้กรรมวิธีพิเศษ ในประเทศไทยไม่แน่ใจว่ามีการให้บริการแบบนี้แล้วหรือไม่

  4. ข้อพิจารณาอื่น ๆ
    • หากถุงนอนมีการซักมาบ่อยครั้ง ควรจะใช้สเปรย์ฉีดเคลือบผิวถุงนอน เพื่อให้คุณสมบัติในการกันน้ำได้อยู่เสมอ ซึ่งสเปรย์นี้สามารถซื้อได้ทั่วไปตามร้านอุปกรณ์แค้มปิ้ง
    • หากถุงนอนของคุณเป็นแบบกันน้ำ (Waterproof) ในการซักทำความสะอาด ถุงนอนเหล่านี้จะอุ้มน้ำทำให้มีน้ำหนักมาก ซึ่งคุณควรมีความระมัดระวังในการขนย้ายไปตาก เพราะถ้าขนย้ายไม่ดี อาจจะทำให้ตะเข็บมีการฉีกขาดได้
thank http://www.mrbackpacker.com/gear/gear_14.html
|

อุปกรณ์เสริมสำหรับถุงนอน

ถุงนอนที่เราใช้กันอยู่ ก็มีอุปกรณ์เสริมที่จะช่วยให้การนอนสบายขึ้น และช่วยให้การจัดเก็บถุงนอนของคุณให้สะดวกและง่ายขึ้น ซึ่งอุปกรณ์เสริมสำหรับถุงนอนมีหลายชนิด เช่น หมอน แผ่นปูรองนอน ฯลฯ เราจะลองมาดูกันว่าอุปกรณ์เสริมมีอะไรกันบ้าง และแต่ละชนิดมีประโยชน์อย่างไร
  1. หมอน (Pillow) – หากคุณนอนอยู่ที่บ้าน คุณคงจะชินกับการนอนบนหมอน ซึ่งหมอนจะช่วยให้เรานอนไม่ปวดคอ สำหรับการเดินเดินทางเราก็สามารถพกหมอนที่มีขนาดเล็กไปได้ เช่น หมอนที่ใช้การเป่าลม เป็นต้น หรือบางครั้งคุณอาจจะใช้กระเป๋าหรือเสื้อผ้าของคุณมาทำเป็นหมอนใช้แทนก็ได้

    หมอน
    หมอน
    แผ่นปูรองนอน
    แผ่นปูรองนอน

  2. ถุงใส่นอน (Liner) – จะเป็นถุงที่มีลักษณะรูปทรงเหมือนกับถุงนอนทำจากผ้า ไนลอนหรือผ้าไหม เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะมี 2 แบบคือ แบบที่ใช้สำหรับสวมคลุมถุงนอนอีกชั้น ซึ่งจะช่วยให้ถุงนอนไม่สกปรก และแบบที่ใช้สวมก่อนถุงนอน ซึ่งจะอยู่บริเวณตัวเรากับถุงนอน ซึ่งชนิดนี้จะช่วยกักเก็บความร้อนในตัวให้อยู่ในถุงนอน ทำให้ความอบอุ่นเพิ่มขึ้น
  3. แผ่นปูรองนอน (Sleeping Pad) – เป็นเบาะขนาดเล็ก ใช้สำหรับปูนอน ซึ่งจะช่วยลดความหนาวเย็นและความเปียกชื้นจากพื้นดินมาสู่ตัวเราได้ และนอกจากนี้แผ่นปูรองนอน ยังช่วยให้ถุงนอนไม่สกปรก เพราะถุงนอนไม่ได้สัมผัสพื้นดินโดยตรง

    ถุงใส่นอน
    ถุงใส่นอน
    Compression Sack
    Compression Sack

  4. ถุงใส่ถุงนอนแบบหดตัวได้ (Compression Sack) – ถุงใส่ถุงนอนแบบนี้จะมีหัวปิดบนและล่าง เมื่อเราใส่ถุงนอนไปแล้วก็สามารถดึงบีบให้ถุงมีขนาดเล็กลง ซึ่งจะทำให้ประหยัดเนื้อที่ใจการจัดเก็บ ซึ่งขนาดการบีบอัดขึ้นกับชนิดผ้าใยของถุงนอนด้วย ว่าสามารถบีบอัดได้มากเพียงใด

อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยให้คุณหลับได้อย่างสบายขึ้น แต่เราก็ควรพิจารณาถึงความสะดวกในการพกพาอุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ด้วย หากท่านจะต้องเดินทางไกลด้วยเท้า อุปกรณ์บางชนิดก็อาจจะไม่สะดวกนัก

thank http://www.mrbackpacker.com/gear/gear_15.html
|

วิธีการเลือกซื้อถุงนอน

เมื่อคุณตัดสินใจที่จะซื้อถุงนอนคู่ใจ คุณจะต้องพิจารณาถึงส่วนประกอบหลาย ๆ อย่าง เพื่อที่จะได้ถุงนอนที่เหมาะสมกับความต้องการของเรามากที่สุด เราจะมาดูกันว่า มีข้อควรพิจารณาในการซื้อถุงนอนอย่างไรบ้าง
  1. ขนาด – ถุงนอนควรจะมีความยาวเหมาะสมกับความสูงของผู้ใช้ ซึ่งตามปรกติถุงนอนจะมีขนาดให้เลือก แต่ในเมืองไทยถุงนอนที่ผลิตในประเทศมักจะมีแต่ขนาดมาตรฐาน ไม่มีขนาดให้เลือกตามความสูง ซึ่งหากถุงนอนมีขนาดเล็กเกินไป ถ้าผู้ใช้เป็นคนตัวสูงก็อาจจะเกิดปัญหาถุงนอนไม่สามารถคลุมได้ทั้งตัว ฉะนั้นเราควรจะดูขนาดความยาวของถุงนอนให้เหมาะสม
  2. รูปทรงของถุงนอน – ถุงนอนจะมีรูปทรงต่างกันออกไป เช่น ทรงสี่เหลี่ยม ทรงมัมมี่ ทรงกึ่งสี่เหลี่ยมเป็นต้น ซึ่งรูปทรงแต่ละแบบจะมีคุณสมบัติในการให้ความอบอุ่น และมีน้ำหนักต่างกันออกไป


  3. การให้ความอบอุ่น – ถุงนอนแต่ละชนิดจะสามารถให้ความอบอุ่นได้ต่างกัน เช่น ขนเป็ดจะให้ความอบอุ่นได้ถึง 0 องศาหรือติดลบ หากเป็นใยสังเคราะห์ก็จะให้ความอบอุ่นประมาณ 0 องศาขึ้นไป ซึ่งแน่นอนว่าถุงนอนที่สามารถให้ความอบอุ่นได้ดีย่อมดีกว่าถุงนอนที่ให้ความ อบอุ่นได้น้อย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับสภาพอากาศและรูปแบบของการท่องเที่ยวด้วย หากเราจะใช้ถุงนอนในเมืองร้อนอุณหภูมิต่ำสุดก็ควรจะเป็น 0 องศาหรือมากกว่า เพราะหากต่ำถึงขึ้นติดลบก็จะทำให้ร้อน นอนไม่สบาย และประเทศของเราก็มักจะไม่ค่อยมีอุณหภูมิติดลบสักเท่าไหร่ และแน่นอนถ้าถุงนอนให้ความอบอุ่นได้สูงมากเท่าไหร่ ราคาและน้ำหนักก็จะสูงตามไปด้วยเช่นกัน หากต้องการเดินทางไกล คุณก็คงไม่อยากได้ถุงนอนที่มีน้ำหนักมากนัก หรือหากงบประมาณน้อย ถุงนอนพวกนี้ก็คงจะไม่เหมาะนักเช่นกัน
  4. และขนาดของถุงนอน" src="http://www.mrbackpacker.com/gear/content_images/gear_13_1.jpg" hspace="5">
    พิจารณาขนาดน้ำหนัก
    และขนาดของถุงนอน
    น้ำหนักของถุงนอน
    – ถุงนอนแต่ละชนิดจะมีน้ำหนักไม่เท่ากัน เราควรจะใช้ถุงนอนที่มีน้ำหนักเท่าไหร่จะขึ้นอยู่กับรูปแบบการท่องเที่ยวของคุณ เช่น
    • Car Camping – น้ำหนักของถุงนอนไม่สำคัญมากนัก เพราะเราไม่ต้องแบกถุงนอนในการเดินทาง
    • Backpacking – ถุงนอนที่ใช้ควรจะมีน้ำหนักปานกลางถึงเบา ทั้งนี้ขึ้นกับระยะทางที่เดินทางด้วย ถุงนอนมัมมี่หรือแบบกึ่งสี่เหลี่ยมจะเหมาะสมสำหรับการเดินทางลักษณะนี้ เพราะจะมีน้ำหนักเบาและกันหนาวได้ดี
    • Bicycle Camping – ถุงนอนที่ใช้จะมีลักษณะเหมือนกับการเที่ยวแบบ Backpacking
  5. เนื้อผ้า - เนื้อผ้าของถุงนอนโดยปรกติจะเป็นผ้าธรรมดาไม่กันน้ำ แต่ถุงนอนบางชนิดจะมีคุณสมบัติพิเศษในการกันน้ำ ทำให้น้ำไม่สามารถซึมผ่านเนื้อผ้าได้ ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้ในที่เปียกชื้น หรือบนหิมะ
  6. สี – สีจะมีคุณสมบัติในตัวมันเอง เช่น สีเข้มจะมีคุณสมบัติในการดูดความร้อนดี ซึ่งจะให้ความอบอุ่นได้ดีกว่าถุงนอนที่มีสีอ่อน และแห้งง่ายกว่าเมื่อเปียกชื้น
  7. ราคา – ราคาของถุงนอนจะมีราคาตั้งแต่ไม่กี่ร้อยบาทสำหรับถุงนอนแบบธรรมดา ไปจนถึงราคาเป็นหมื่นบาทสำหรับถุงนอนที่ใช้เฉพาะที่ เช่นในที่หนาวจัด ทั้งนี้ขึ้นกับความต้องการของคุณยิ่งกันหนาวได้มาก ยิ่งแพง โดยปรกติถ้าเป็นถุงนอนกันหนาวได้ 0 องศาประเภทใยสังเคราะห์จะมีราคามือหนึ่งประมาณ 3-5 พันบาท ถ้าเป็นถุงนอนขนเป็ดมือหนึ่งราคาก็จะอยู่ประมาณ 5-7 พันบาท หรือถ้าเป็นแบบผ้าธรรมดาก็ราคาไม่กี่ร้อย
  8. การดูแลรักษา - เราควรจะศึกษาการดูแลรักษาถุงนอนก่อนที่จะซื้อ เนื่องจากถุงนอนที่ผ้าใยต่างชนิดกัน จะมีวิธีดูแลรักษาต่างกันออกไป บางชนิดจะดูแลรักษาได้ยาก เช่น ถุงนอนขนเป็ด ไม่สามารถนำไปซักได้ เพราะถ้าขนเป็ดโดนน้ำจะทำให้คุณสมบัติในการกักเก็บความร้อนหายไป เราจึงควรศึกษาข้อมูลเหล่านี้ให้ดีก่อน
thank http://www.mrbackpacker.com/gear/gear_13.html
|

เส้นใยสังเคราะห์ที่ใช้ทำถุงนอน

หลายท่านคงจะเคยไปซื้อถุงนอนตามร้านขายอุปกรณ์แค้มปิ้ง คนขายมักจะบอกถึงคุณสมบัติของถุงนอนว่าทำจากเส้นใย Dupont , Polarguard หรือ อื่นๆ ซึ่งราคาของถุงนอนจะต่างกันค่อนข้างมากสำหรับเส้นใยชนิดต่างกัน และคนซื้อก็มักจะไม่ค่อยทราบว่า เส้นใยแต่ละชนิดมีคุณสมบัติอย่างไร แบบไหนดีกว่า เส้นใยที่นิยมใช้บุถุงนอนส่วนใหญ่ มักจะมาจาก 2 ค่ายใหญ่คือ Dupont เช่น เส้นใยแบบ Hollofil , Quallofil , Thermolite และค่ายของ Polarguard เช่น Polarguard HV, Polarguard 3D เป็นต้น เราจะมาดูกันว่าเส้นใยแต่ละประเภทมีคุณสมบัติอย่างไร เพื่อเป็นความรู้ประกอบในการเลือกซื้อถุงนอน

เส้นใย Dupont

Dupont เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงมากทางด้านเทคโนโลยีสำหรับผ้าและสิ่งทอต่าง ๆ สำหรับถุงนอนบริษัท Dupont ก็ได้มีการผลิตเส้นใยที่ใช้สำหรับบุถุงนอนออกมาหลายแบบ เช่น Hollofil , Quallofil , Thermolite ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในการผลิตถุงนอน

Hollofil808 – เป็นเส้นใยที่ทำมาจาก Dacron Polyester 100% เส้นใยผ้าจะมีรูเดียวจึงกันหนาวได้ไม่มากนัก ซึ่งถุงนอนที่ทำด้วยใยประเภทนี้เหมาะสำหรับใช้งานแบบคาร์แค้มป์ หรือ สถานที่อากาศไม่หนาวมากนัก

Hollofil 2 – เส้นใยชนิดนี้มีการพัฒนาจาก Holofil808 ซึ่งเป็นเส้นใยที่ทำมาจาก Dacron Polyester 100% และเส้นใยมีรูจำนวน 4 รู ทำให้สามารถให้ความอบอุ่นได้มากกว่า Hollofil808 โดยที่น้ำหนักไม่เพิ่มขึ้น

เส้นใย Hollofil
เส้นใย Hollofil
เส้นใย Quallofil
เส้นใย Quallofil


Quallofil – เส้นใยชนิดนี้จะมีรูจำนวน 7 รู ทำให้สามารถให้ความอบอุ่นได้มากกว่า 2 แบบแรก มีน้ำหนักเบา และในกรณที่มีความเปียกชื้นก็ยังสามารถให้ความอบอุ่นได้ดี เส้นใยชนิดนี้เหมาะสำหรับใช้งานเดินป่า และในที่ที่อาจจะเปียกชื้น

Quallofil with Allerban – เส้นใยชนิดนี้จะเหมือนกับแบบ Quallofil คือมี 7 รู แต่จะพิเศษกว่าที่จะมีเส้นใยที่เรียกว่า Allerban ผสมอยู่ด้วย ซึ่งเส้นใยชนิดนี้จะมีคุณสมบัติในการป้องกันแบคทีเรียได้

Thermolite Micro – เส้นใยแบบ Thermolite จะเป็นเส้นใยที่ให้ความอบอุ่นมากที่สุด ซึ่งเรียกได้ว่าให้ความอบอุ่นใกล้เคียงกับขนเป็ดเลยทีเดียว ซึ่งเส้นใย Thermolite จะมีรูกลวงตรงกลาง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เรียกว่า Hollow-core fiber technology ซึ่งจะทำให้มีน้ำหนักเบา แห้งเร็วกว่าผ้า Cotton ถึง 50% ซึ่งรูตรงกลางนี้จะทำให้สามารถระบายความชื้นออกจากภายในและกักเก็บความอบอุ่นไว้ได้

Thermolite Extra – จะมีลักษณะเหมือนกับ Thermolite Micro จะต่างกันตรงที่เส้นใยจะขดเป็นรูปสปริงทับซ้อนกัน (hollow-core fibers provide three-dimensional spring) ทำให้สามารถให้ความอบอุ่นได้ดีกว่า เนื่องจากการขดเป็นรูปสปริง จะทำให้เส้นใยอัดแน่นได้มากกว่า

Thermolite Extreme – จะเป็นเส้นใยที่ดีที่สุดของ Dupont ในปัจจุบัน ให้ความอบอุ่นได้สูงสุด เหมาะกับการใช้งานในที่หนาวจัด ซึ่งเส้นใยแบบนี้จะมีเทคโนโลยีที่เรียกว่า tri-blend fiber technology ซึ่งจะประกอบด้วยเส้นใย 3 ส่วน คือ เส้นใยที่เป็นเส้นตรง เส้นใยที่ขดเป็นสปริง และเส้นใยที่คอยยึดโยงเส้นใยอื่น ๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งจะมีลักษณะเป็นใยแมงมุม

เส้นใย Thermolite Extra มีลักษณะการขดเหมือนสปริง
เส้นใย Thermolite Extra
มีลักษณะการขดเหมือนสปริง
เส้นใย Thermolite Extreme มีการลักษณะการวางเส้นใยเป็น 3 เลเยอร์
เส้นใย Thermolite Extreme
มีการลักษณะการวางเส้นใยเป็น 3 เลเยอร์

เส้นใย Polarguard

Polarguard HV (High Void Continuous Filament) – เส้นใยประเภทนี้จะมีลักษณะกลวงเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านในซึ่งจะเป็นช่องสับ หว่างกันไปมา ทำให้สามารถกักเก็บปริมาตรอากาศได้มากกว่าเส้นใยสังเคราะห์ทั่วไปที่ไม่มี ช่องว่างภายใน และช่วยเก็บและรักษาความร้อนจากร่างกายของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า เส้นใย Polarguard HV มีข้อได้เปรียบต่างๆ มากมาย ดังนี้

  • เป็นฉนวนสังเคราะห์ที่ทนทานมาก
  • ให้ความอบอุ่นมาก
  • เบากว่าใย Polarguard ทั่วไปถึง 25%
  • แห้งเร็ว
  • กันความชื้นได้ดี
  • สามารถซักในเครื่องซักผ้าได้
  • มีการกระจายตัวดี ไม่เกาะกันเป็นกลุ่มก้อน
  • สามารถอัดแน่นและคืนตัวสู่สภาพเดิมได้เป็นอย่างดี
  • ไม่มีกลิ่น
  • ไม่ทำให้แพ้ง่าย (สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้)
  • ไม่ทำให้เกิดเชื้อรา
  • ป้องกันแมลงได้
  • ทนทาน ใช้ได้นาน

เส้นใย PolarGuard 3D
เส้นใย PolarGuard 3D

Polarguard 3D – เป็นเส้นใยที่รักษาข้อดีของ Polarguard HV ไว้และยังมีข้อดีอื่นเพิ่มขึ้นอีก คือ เป็นเส้นใยสังเคราะห์ที่เบาที่สุด มีความสามารถในการคืนรูปมากที่สุด สามารถอัดแน่นได้มากที่สุด และยังมีชั้นกันความชื้นเพื่อป้องกันความชื้นที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกด้วย

Polarguard 3D ทำจากเส้นใยไฟเบอร์ที่มีความต่อเนื่องกันเป็นเส้นเดียว ช่วยทำให้เส้นใยคงสภาพเดิม ไม่แยกออกจากกันหรือเกาะตัวกันเป็นกลุ่มก้อน เส้นใย Polarguard 3D นี้มีความนุ่มใกล้เคียงกับขนเป็ดมาก ซึ่งช่วยให้ความอ่อนนุ่มแบบขนเป็ดแต่ยังคงรักษาความทนทานของใยสังเคราะห์เอา ไว้ได้เป็นอย่างดี เส้นใยแต่ละเส้นมีรูกลวงรูปสามเหลี่ยมด้านในสับหว่างกัน ช่วยป้องกันไม่ให้เส้นใยยุบตัวและสามารถรักษาสภาพเดิมและคืนรูปได้ดีตลอด เวลาหลายปีของการใช้งาน เวลาเดินป่า เราสามารถจะเก็บถุงนอนโดยการยัดใส่ถุงและบีบอัดให้เล็กลง พอกลับมาแล้วก็สามารถเอาถุงนอนไปซักและอบแห้ง จากนั้นก็เอามาใช้นอนได้อีกโดยที่เส้นใยจะกลับคืนสู่สภาพความอ่อนนุ่มเหมือน เก่าได้เป็นอย่างดี

thank http://www.mrbackpacker.com/gear/gear_24.html
|

วัสดุที่ใช้บุถุงนอน (Fill)

วัสดุที่ใช้บุถุงนอนจะเป็นสิ่งที่ป้องกันไม่ให้ความอบอุ่นจากด้านในถุง นอนหายไป และป้องกันไม่ให้ความเย็นจากด้านนอกเข้ามาในถุงนอน ซึ่งวัสดุที่ดีจะต้องสามารถให้ความอบอุ่นมากและมีน้ำหนักเบา วัสดุที่ใช้ทำถุงนอนในปัจจุบันแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ขนเป็ด (Down) และใยสังเคราะห์ (Synthetic Fills)


ขนเป็ด (Down)


ขนเป็ดในปัจจุบัน ยังคงเป็นวัสดุที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ในด้านการให้ความอบอุ่น น้ำหนัก และขนาดเมื่อทำการบีบอัดแล้ว ซึ่งหากเปรียบเทียบกับผ้าใยสังเคราะห์แล้ว ขนเป็ดจะมีประสิทธิภาพมากกว่า เมื่อกางถุงนอนออก หรือถุงนอนไม่ได้ถูกอัดเก็บอยู่ในถุงใส่ถุงนอนแล้ว ขนเป็ดที่บุอยู่ด้านในจะพองตัวขึ้นและกระจายตัวไปทั่วถุงนอนอย่างทั่วถึง ถุงนอนขนเป็ดจะคืนสภาพและฟูนุ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วเต็มทั่วทั้งถุงนอน ในขณะที่วัสดุใยสังเคราะห์ไม่สามารถจะกระจายตัวและคืนสภาพได้ดีเท่าขนเป็ด นอกจากนี้ขนเป็ดยังมีอายุการใช้งานยาวนานหากมีการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง (อย่างน้อย 10-15 ปี เมื่อเปรียบเทียบกับใยสังเคราะห์ซึ่งจะมีอายุประมาณ 3-6 ปี)

แต่ขนเป็ดก็มีจุดอ่อนเช่นกัน หากขนเป็ดมีความเปียกชื้น ประสิทธิภาพในการให้ความอบอุ่นจะด้อยกว่าผ้าใยสังเคราะห์ และจะแห้งได้ยากกว่า นอกจากนี้ขนเป็ดยังอาจจะก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ สำหรับบางคนที่อาจจะแพ้ขนสัตว์ หากเราต้องการขนเป็ดที่มีคุณภาพดี ราคาก็จะสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับใยสังเคราะห์

โดยปรกติเมื่อเราซื้อถุงนอนขนเป็ด ถุงนอนแต่ละรุ่นจะกันหนาวได้ไม่เท่ากัน ซึ่งถุงนอนขนเป็ดจะมีตัวเลขของ Fill Power กำกับอยู่ เช่น 600, 700, 800 ซึ่งตัวเลขนี้จะแสดงถึงความสามารถในการกักอากาศเป็นลูกบาศก์นิ้วต่อขนเป็ด 1 ออนซ์ Fill power เป็นการวัดปริมาณอากาศหรือช่องว่างของขนเป็ดต่อหนึ่งออนซ์ ซึ่งมาจากลักษณะความยาวและความหนานุ่มเป็นปุยของขนเป็ด เช่น ถุงนอนที่ระบุว่ามี Fill power 550 หมายถึงถุงนอนที่มีปริมาณขนเป็ด 56000 กลุ่มต่อหนึ่งออนซ์ ในขณะที่ถุงนอนที่มี Fill power 750 จะมีขนเป็ด 24000 กลุ่มต่อหนึ่งออนซ์ จะเห็นได้ว่าขนเป็ดหนึ่งกลุ่มนั้น ถ้ายิ่งคุณภาพดีก็จะยิ่งมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากกว่าและใช้จำนวนน้อยกว่าต่อ พื้นที่หนึ่งออนซ์เท่ากัน ขนเป็ดคุณภาพดีตัวเลขก็จะสูงขึ้น ซึ่งจะกันหนาวได้มากขึ้นแต่ราคาก็จะสูงขึ้นด้วย

ใยสังเคราะห์ (Synthetic Fill)

ใยสังเคราะห์จะมีชื่อเรียกในแต่ละยี่ห้อของผู้ผลิตต่างกันไป และมีราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับขนเป็ด ซึ่งใยสังเคราะห์ในตลาดจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

  1. เส้นใยขนาดยาวต่อเนื่องและเกาะติดกันเป็นกลุ่มก้อน (Long continuous-filament fibers) มักจะใช้บุในถุงนอนที่ค่อนข้างจะมีการขึ้นรูปโครงที่แน่นอนเป็นรูปเป็นร่าง โดยปกติแล้ว ตัวเลขที่กำกับไว้หมายถึงน้ำหนักต่อหนึ่งตารางหลา ในปัจจุบันยี่ห้อที่เป็นที่รู้จักกันก็คือ Polarguard, Polarguard HV, Polarguard 3D และ Laminite
  2. เส้นใยขนาดสั้นและไม่เกาะติดกันเป็นกลุ่มก้อน (Much shorter, noncontinuous-filament fibers) อาจจะใช้บุทั้งในถุงนอนที่มีการขึ้นรูปโครงที่แน่นอน และในถุงนอนที่ไม่มีรูปร่างที่แน่นอน ชื่อทางการค้าในตลาดก็คือ Hollifil, Hollofil 2 และ Quallofil
  3. เส้นใยขนาดสั้นพิเศษ ซึ่งมีลักษณะรูปร่างคล้ายๆ ขนเป็ด (Even-shorter-fibered formed somewhat resemble down) โดยที่เส้นใยประเภทนี้อาจจะมีการเกาะกลุ่มกันหรือไม่ก็ได้ ชื่อที่ใช้ในปัจจุบันคือ Lite Loft, Micro Loft, Primaloft และ Thermolite Extreme

จะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาใยสังเคราะห์ไปมาก ในอนาคตเราอาจจะเห็นใยสังเคราะห์ที่สามารถให้ความอบอุ่นและน้ำหนักเบาเหมือน กับขนเป็ดก็เป็นได้

thank http://www.mrbackpacker.com/gear/gear_12.html
|

มารู้จักส่วนประกอบของถุงนอนกันเถอะ

ถุงนอนประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ จำนวนหลายส่วน ซึ่งแต่ละส่วนจะมีคุณสมบัติต่าง ๆ กันที่ทำให้ถุงนอนมีประสิทธิภาพที่ดี เราลองมาดูกันว่าถุงนอนประกอบด้วยส่วนหลักๆ อะไรบ้าง และแต่ละส่วนมีความสำคัญอย่างไร

gear_1_2.gif

1. หมวกคลุมศีรษะ(Hood)
ถุงนอนจำนวนมากจะมีหมวกไว้สำหรับคลุมศีรษะ ซึ่งหมวกนี้จะช่วยป้องกันการสูญเสียความร้อนจากร่างกาย ซึ่งความร้อนมากกว่า 50% จะสูญเสียไปจากศีรษะของเรา ฉะนั้นถุงนอนที่มีคุณภาพดีจะมีหมวกที่สามารถป้องกันการสูญเสียความร้อนได้ดี ฮูดที่ดีควรจะสามารถปรับให้กระชับกับศีรษะได้ และสวมแล้วไม่รู้สึกรบกวนใบหน้า

2. แผ่นเพิ่มความอบอุ่นช่วงอก (Draft Collar)
จะเป็นส่วนที่อยู่ถัดจากฮูดลงมา ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันการสูญเสียความร้อนบริเวณรอยต่อระหว่างคอและไหล่ โดยจะไปลดช่องว่างของคอกับไหล่ ทำให้มีการสูญเสียความร้อนลดลง ซึ่งในถุงนอนบางชนิดที่ใช้กับหน้าร้อนอาจจะไม่มีส่วนนี้

3. ช่องเก็บของปลายถุงนอน (Foot Box)
ถุงนอนส่วนใหญ่ช่วงปลายถุงนอนจะเป็นส่วนเดียวกับ ตัวถุงนอน แต่ในถุงนอนบางชนิดจะมีช่องที่ปลายถุงนอนเพื่อให้ความอบอุ่นที่เท้าเป็น พิเศษ และสามารถเก็บของเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ด้วยเช่น ขวดน้ำ รองเท้า เป็นต้น

4. ซิป (Zipper)
gear_1_3.jpg ซิป มักจะเป็นซิปที่มีคุณภาพสูง ผลิตจากพลาสติกทำให้ไม่เย็นเมื่อถูกสัมผัส ซิปถุงนอนจะต้องรูดได้สะดวกไม่ติดชิ้นส่วนหรือกินเนื้อผ้าของถุงนอนไปด้วย เวลารูดซิป และด้านบนสุดของซิปมักจะมีแถบล็อคซิปเพื่อปิดไว้ไม่ให้ซิปเลื่อนลงมาและลด ความกระด้างเวลาสัมผัสกับหัวซิป ในถุงนอนรุ่นใหม่ ๆ ระบบซิปของถุงนอนได้ออกแบบให้สามารถรูดต่อถุงนอนสองใบให้เป็นชิ้นเดียวกัน ได้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นถุงนอนยี่ห้อเดียวกัน ถ้าอันหนึ่งเป็นซิปขวาอีกอันเป็นซิปซ้าย ก็จะสามารถรูดต่อกันเป็นถุงนอนผืนเดียวกันได้

5. แถบรองซิป (Zipper Flap)
แถบรองซิปจะอยู่ขนานกับตัวซิปด้านใน ทำหน้าที่ช่วยปกป้องการสูญเสียความร้อนของถุงนอนผ่านทางซิป

6. กระเป๋าใส่ของจุกจิก (Pocket)
ใช้สำหรับใส่ของจุกจิก เช่น กุญแจ แว่นตา ไฟฉาย ซึ่งจะให้ความสะดวกในการหยิบใช้

gear_1_1.jpg7. ถุงนอนด้านนอก (Outer Fabric)
เป็นส่วนที่สัมผัสกับอากาศภายนอก มีประสิทธิภาพในการป้องกันลม น้ำ คงทน ซึ่งทั้งนี้ขึ้นกับชนิดของวัสดุที่ผลิตด้วย ถุงนอนที่มีราคาแพงมักจะมีคุณสมบัติข้างต้นครบถ้วน แต่ในรุ่นที่ราคาถูกก็อาจจะเป็นผ้าไนล่อนธรรมดา

8. ถุงนอนด้านใน (Inner Fabric)
เป็นส่วนที่สัมผัสกับร่างกาย ผลิตจากวัสดุหลากหลาย ขึ้นกับชนิดและราคาถุงนอน วัสดุที่ดีจะทำให้เกิดความนุ่มนวล และความรู้สึกที่ดีต่อผู้ใช้

9. วัสดุบุถุงนอน (Fill)
เป็นวัสดุที่เป็นใยสังเคราะห์ หรือขนห่าน ทำหน้ารักษาความร้อนในถุงนอน ซึ่งวัสดุที่เป็นขนห่าน (Goose Down) จะให้ความอบอุ่นที่ดีกว่า แต่ราคาก็จะแพงกว่าแบบใยสังเคราะห์ ซึ่งในตัวถุงนอนจะมีเอกสารกำกับชนิดวัสดุที่ใช้บุและวิธีการใช้อยู่ ปัจจุบันใยสังเคราะห์ที่นิยมใช้มีหลายแบบ เช่น Qualofil จาก Dupont หรือ Polar Guard 3D เป็นต้น

thank http://www.mrbackpacker.com/gear/gear_1.html
|